เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สังคมกำลังจับตาและให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ถึงกรณีความขัดแย้งในวงการตำรวจที่ดูแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลงง่ายๆ รวมถึงในตอนนี้สังคมเริ่มมีการตั้งคำถามถึงการออกหมายเรียก บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เพื่อให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาเรื่องมีเอี่ยวรับเงินเว็บพนัน แต่เจ้าตัวอ้างว่ายังไม่เห็น หรือยังไม่ได้รับหมายเรียกใดๆ ซึ่งหากเป็นขั้นตอนทั่วไปที่หลายคนคุ้นเคย เมื่อมีการออกหมายเรียก 2 ครั้ง แล้วผู้ถูกเรียกไม่มาก็จะต้องถูกออกหมายจับ ซึ่งยังกรณีของ บิ๊กโจ๊ก นั้น ก็ยังไม่มีขั้นตอนการออกหมายจับแต่อย่างใด จนเกิดเป็นกระแสสังคมออกมาตั้งคำถามว่าหากถูกหมายเรียกจะสามารถอ้างแบบที่ รอง ผบ.ตร.ทำได้หรือไม่
ล่าสุด พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ อดีตรอง ผบ.ตร. และ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ถึงกรณีการออกหมายเรียกและความขัดแย้งของบิ๊กตำรวจที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ถือว่าเป็นครั้งหนึ่งที่มีความรุนแรง และต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
ส่วนกรณีที่มีหมายเรียกเพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวต่อ บิ๊กโจ๊ก แล้วเจ้าตัวไม่มานั้น จะเป็นบรรทัดฐานให้ประชาชนทำตามหรือไม่ เนื่องจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เองก็เป็นถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ อดีตรอง ผบ.ตร. และ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ขอบคุณภาพจาก : kmitl
ข้อเท็จจริงตรงนี้เดี๋ยวคงจะคลี่คลาย และได้ข้อสรุปเอง จากข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนส่งครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 โดยหลักการคงไม่ได้ดูว่าส่งครั้ง 1-2 แล้วไม่ได้รับ ซึ่งศาลก็จะพิจารณาดูว่าผู้ที่ถูกออกหมายเรียก มีลักษณะบ่ายเบี่ยง หรือประวิงเวลาหรือไม่ ตรงนั้นต้องรอศาลพิจารณาว่าจะออกหมายจับหรือไม่ ผมมองว่าปัญหาตรงนี้คงไม่ทำให้พนักงานสอบสวนถึงขั้นถอยมา หรือยุติการดำเนินการใดๆ ทุกอย่างคงต้องเดินหน้าต่อไป คงต้องรอศาลท่านใช้ดุลยพินิจ ในการพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งก็จะเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องต่อไป
และในกรณีที่ทนายตั้มได้เปิดข้อมูล 18 ธุรกิจสีเทาที่มีการเรียกรับส่วยนั้นมันจะถูกทลายหรือมีการปฏิรูปหรือไม่นั้น ต้องขอเรียนว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความจริง เป็นเรื่องของปัจเจกคน ตั้งแต่รับราชการมาตั้งแต่เด็กจนโต
พวกที่ใช้อำนาจหน้าที่เก็บส่วย หากผู้บัญชาการรับทราบก็ไม่ปล่อยปะละเลย มีมาตรการลงโทษ ปลดออก ไล่ออก เกี่ยวกับเรื่อลักษณะนี้ เพราะตำรวจก็อยู่ในความเสี่ยงของการทำผิดในลักษณะนี้ เหมือนเป็นการสมยอมสองฝ่ายคนให้ก็อยากให้ ตำรวจก็อยากได้