พลิกปูมคดีแอปเปิ้ล ก่อนจะถึงวันพิพากษา คดีแอปเปิ้ลเดินทางมาถึงความกระจ่างแล้ว!!! ตอนที่ 1

พลิกปูมคดีแอปเปิ้ล ก่อนจะถึงวันพิพากษา คดีแอปเปิ้ลเดินทางมาถึงความกระจ่างแล้ว!!! ตอนที่ 1 ศาลพิพากษา จำเลยทั้ง 4 กระทำความผิดจริง ไม่ใช่ “แพะ”

พลิกปูมคดีแอปเปิ้ล ก่อนจะถึงวันพิพากษา
คดีแอปเปิ้ลเดินทางมาถึงความกระจ่างแล้ว!!! ตอนที่ 1


ศาลพิพากษา จำเลยทั้ง 4 กระทำความผิดจริง ไม่ใช่ “แพะ”

ภาพจากอีจัน
     คดีแอปเปิ้ล เป็นคดีที่มีความสับสนมากมายในโลกโซเชียล นับตั้งเกิดเหตุ น้องแอปเปิ้ล หรือ อรวี สำเภาทอง เด็กสาววัยเพียง 17 ปี ซึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.6 ของ รร.แห่งหนึ่งใน จ.ระนอง ถูกแทงตายริมถนน ในคืนวันหนึ่งขณะกำลังออกจากบ้านเดินไปกินข้าวกับเพื่อน      เหตุการณ์เกิดขึ้นในคืนวันที่ 28 กันยายน 2558 เวลาเกิดเหตุเพียงทุ่มเศษ ก่อนหน้านั้นเพื่อนชื่อ ทราย ชักชวนให้เธอออกมากินข้าวนอกบ้าน ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากบ้านเธอมากนัก ทรายแชทข้อความชวนกันไปมาหลายครั้ง จนแอปเปิ้ลยอมตกลงใจออกไปหาทรายตามคำชวน แม้ว่าในตอนนั้น รถจักรยานยนต์ในบ้านจะน้ำมันหมด เธอต้องเดินเท้าก็ตาม เวลานั้นแอปเปิ้ลอยู่บ้านลำพัง แม่และพี่สาวกำลังทำงานอยู่ที่ร้านขายโทรศัพท์ ไม่มีใครรู้ว่า แอปเปิ้ลออกจากบ้าน จนกระทั่ง เวลาใกล้ 2 ทุ่ม ทรายโทรศัพท์ไปหา “สนุ๊ก” พี่สาวของแอปเปิ้ล และแจ้งว่า “แอปเปิ้ลเสียแล้ว” ท่ามกลางความงุนงง สนุ๊กรีบโทรฯบอกแม่ แล้วขับรถไปหาตามตำแหน่งที่ทรายแจ้ง เธอขับรถมาถึงใกล้สำนักสงฆ์ก็เห็นผู้คนมามาย เห็นแสงรถไซเรนและเจ้าหน้าที่กู้ภัย ภาพเพียงแค่นั้นก็เกินพอ สนุ๊กทราบทันทีว่า ข่าวที่ทรายแจ้ง เป็นความจริง

      เมื่อแม่ตามมาสมทบและเข้าไปดูน้อง สภาพที่เห็นใครจะเชื่อว่า คนที่เพิ่งเจอกันจะถูกกระทำอย่างโหดเหี้ยมและต้องจากกันไปอย่างกะทันหัน จะเป็นน้องที่นอนจมกองเลือดอยู่ตอนนี้
แอปเปิ้ลนอนคว่ำหน้า เลือดจำนวนมากนองพื้น มีไม้ไผ่ยาวประมาณ 1 เมตร วางอยู่ไม่ห่างนัก เธอเสียชีวิตริมทาง ซึ่งเป็นซอยข้างสำนักสงฆ์ จุดเกิดเหตุที่ห่างจากถนนใหญ่เพียง 70 เมตรเท่านั้น

ภาพจากอีจัน
เกิดอะไรขึ้นกับแอปเปิ้ลกันแน่? ตำรวจไล่กล้องวงจรปิดหาต้นสายปลายเหตุ เด็กมัธยมปลายถูกแทงตายในซอย ซึ่งมีรถสัญจรไปมาแทบทุก 2 นาที ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ ตำรวจได้ภาพจากวงจรปิดที่ร้านค้าหน้าปากซอย ทำให้เห็นภาพของแอปเปิ้ล เดินผ่านหน้าสำนักสงฆ์ ก่อนเลี้ยวเข้าซอยเธอมีท่าทีหันซ้ายหันขวาราวกับตกใจบางอย่าง
ภาพจากอีจัน


      ส่วนกล้องอีกตัวเห็นเธอเดินลับเข้าซอย ใครจะเชื่อว่า จากนั้นไม่ถึงนาที แอปเปิ้ลก็ถูกคนร้ายฆ่าตาย ด้วยการจ้วงแทงถึง 17 แผล ซึ่งในขณะเกิดเหตุ กล้องที่ร้านค้าปากซอยยังจับภาพ เจ้าของร้านที่กำลังกวาดหน้าร้านโดยไม่ได้รู้เลย เวลาเด็กสาวที่เดินผ่านไปเมื่อนาทีก่อน กำลังถูกฆ่าตายอย่างทารุณ
ตำรวจคำนวณจากกล้องวงจรปิดพบว่า ก่อนเกิดเหตุ มีรถซาเล้งซึ่งมีคนขับและคนนั่งรวมกัน 4 คนขับเข้าซอยไป 30 วินาทีต่อมา แอปเปิ้ลเดินถึงปากซอย เธอเดินเข้าไปประมาณ 2 นาที มีรถซีอาร์วีขับตามเข้าไป ตามด้วยรถจักรยานยนต์ อีก 1 คัน ซึ่งถึงเวลานั้น คนกลุ่มนี้ก็พบร่างของแอปเปิ้ลนอนเสียชีวิตที่พื้นถนนแล้ว

ตำรวจจึงสรุปได้ว่า เหตุการณ์จ้วงแทง 17 แผล เกิดในเวลาเพียง 2 นาทีเศษเท่านั้น !!!
สิ่งที่ต้องมองหาต่อไป คือ ใคร เป็นคนก่อเหตุอันเหี้ยมโหดและรวดเร็วนี้
คนร้ายกับเหยื่อ พบกันในเวลาสั้นมาก 2 นาทีเศษ เท่านั้น
หลังก่อเหตุ แอปเปิ้ลถูกทิ้งริมถนน รอยแผลที่ถูกแทงลึกถึงตับ เธอจึงเสียเลือดมากและขาดใจตายทันที

ในเสี้ยวนาทีนั้น คนร้ายหายไปทางไหน?
วิเคราะห์ที่เกิดเหตุ:
ที่เกิดเหตุเป็นซอยยาวมีกำแพงขนาบทั้ง 2 ด้าน ไม่มีไหล่ถนน มีหญ้าเตี้ยขึ้นริมทาง
ตำรวจดูกล้องที่ร้านตรงปากซอย พบว่า หลังเกิดเหตุ ไม่มีคนวิ่งออกมาทางปากซอย ดังนั้น คนร้ายอาจวิ่งหนีเข้าไปในซอย แต่ตามไปดูกล้องวงจรปิดในซอย เลยจากที่เกิดเหตุไป ไล่เวลาให้ตรงกับช่วงเกิดเหตุ ก็พบว่า ในเวลาหลังแอปเปิ้ลถูกแทง ก็ไม่มีคนวิ่งไปทางในซอยเลย ตอนนี้จึงเหลือเส้นทางเดียว คือ ประตูด้านข้างของสำนักสงฆ์ ซึ่งทางเข้านี้อยู่ห่างจากร่างของผู้ตายเพียงไม่กี่สิบเมตร

ภาพจากอีจัน
      ถ้าเคลียร์ในซอยแล้วไม่พบคนวิ่งเข้าและออก แสดงว่า คนร้ายน่าจะใช้ทางเข้าสำนักสงฆ์ด้านข้าง นี้แน่นอน ตำรวจเดินหาพยานที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ มีพยานในสำนักสงฆ์ให้การว่า เห็นชายร่างเล็กวิ่งจากประตูทางเข้าด้านข้างสำนักสงฆ์ และวิ่งออกไปทางประตูเล็กของอีกด้าน ซึ่งเป็นซอยทะลุไปชุมชนพม่า มีพยานอีกคน ซึ่งอยู่ในบ้าน แต่รั้วบ้านห่างจุดที่แอปเปิ้ลตาย เพียง 7 เมตร พยานคนนี้ให้การว่า ได้ยินเสียงร้องช่วยด้วย ช่วยด้วย เสียงคล้ายถูกของแข็งตี 1-2 ที เสียงรองเท้าแตะของหลายคนวิ่ง และจากนั้นก็ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ ดังๆ 2 ครั้ง ตอนนี้ตำรวจมี โจทย์สำคัญ คือ คนร้ายที่ลงมือสังหารน้องแอปเปิ้ล ต้องมีหลายคน ไม้ไผ่ในที่เกิดเหตุน่าจะเกี่ยวข้อง จึงเก็บเป็นหลักฐาน ส่วนคนร้ายหลบหนีทางไหนยังเป็นปัญหา เพราะพยานคนแรกเล่าว่า วิ่งไปทางประตูเล็ก มีคนร่างเล็ก 4 คน มีหมาเห่า ชายคนหนึ่งหยุดและเอาก้อนหินปาหมา ก่อนวิ่งออกประตูเล็กไป ขณะที่พยานคนที่ 2 เล่าว่า ได้ยินเสียงจักรยานยนต์ ตกลงคนร้ายวิ่งหนี หรือ ขี่จักรยานยนต์ หนีกันแน่ ตำรวจไล่กล้องในซอยอีกครั้ง แต่ปัญหา คือ กล้องทุกตัวเวลาไม่เท่ากัน ต้องหาวิธีแมชให้เจอเวลาจริง ก่อนจะดูได้ว่า ช่วงเวลานั้น ในซอยที่เกิดเหตุ มีรถจักรยานยนต์วิ่งเข้าไปหรือไม่ เพราะวิ่งออกไม่มีแน่นอน ซึ่งผล คือ ไม่มี ตำรวจจึงโฟกัสไปที่ กลุ่มชายที่วิ่งจากประตูข้างสำนักสงฆ์วิ่งข้ามไปออกประตูเล็ก
ภาพจากอีจัน
และคำถามตอนนี้ คือ คนกลุ่มนี้เป็นใครและวิ่งหนีไปไหน เกี่ยวข้องกับที่เกิดเหตุหรือไม่ถึงนาทีนี้ การตามล่าฆาตกร เริ่มเห็นได้ลางๆ แต่…ยังไม่รู้ที่มาที่ไป ขณะที่ทีมสืบจากพื้นที่ยังคงทำงานไล่สแกนพื้นที่ เก็บกล้องวงจรปิดในพื้นที่ที่เชื่อว่า คนร้ายจะหลบหนีไปตรวจสอบ รวมถึงหาข่าวบุคคลต้องสงสัย ทีมสืบสวนอีกชุดก็หาข้อมูลถึงแรงจูงใจที่ทำให้เกิดเหตุ ฆาตกรรมเด็กมัธยมปลายวัย 17 ปีประเด็นสืบตั้งง่ายๆ ประเด็นแรก คือ มีการวางแผน ลวงแอปเปิ้ลมาดักฆ่า หรือ ไม่ ทันทีที่ตั้งประเด็นนี้ เป้าแรกที่ตำรวจสงสัย จึงเป็นเพื่อน ชื่อทราย ที่ชวนผู้ตายออกไปกินข้าว แต่เมื่อย้อนดูแชทของทั้งสองคนก็พบว่า ทั้งคู่เป็นการพูดคุยกันปกติ ไม่ได้ มีการเร่งเร้า หรือ เพิ่งมามีการชักชวนให้ออกไปหากันแบบนี้ ดูจากศักยภาพก็พบว่า ทราย เป็นเพียงเด็กอายุประมาณกัน คือ 17 ปี ฐานะทางสังคมน้อยกว่าผู้ตาย ยิ่งไม่มีศักยภาพในการวางแผนฆ่า หรือ จ้างวานฆ่า ที่คนฆ่าต้องเก่งมากถึงจะวางแผนลงมือในเวลาอันสั้น และหนีหายแบบนี้ได้ตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิด เห็นภาพตั้งแต่การเดินออกจากบ้าน จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุ ไม่มีคนติดตาม ทั้งในรูปแบบรถหรือเดินตาม ทุกอย่างปกติ ระหว่างนั้น ผู้ตายมีท่าทีธรรมดาๆ จนกระทั่งถึงหน้าสำนักสงฆ์ … ท่าทีแอปเปิ้ลหลังจากนั้นเปลี่ยนไป
ภาพจากอีจัน
    ตำรวจสนใจเหตุการณ์ตรงสำนักสงฆ์มาก ขณะที่เธอเดินผ่านทางเข้าประตูใหญ่สำนักสงฆ์นั้น เกิดอะไรขึ้นที่นั่น เพราะหลังจากผู้ตายเดินผ่านไม่นาน ก็มีท่าทีเอามือทาบอกเหมือนตกใจ น่าเสียดายที่ไม่กล้องวงจรปิดจับภาพที่ชัดเจนได้ 

    อีจันได้พบกับ พ.ต.อ.เชิดพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บังคับการ ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ซึ่งในช่วงเกิดเหตุ เขารับผิดชอบควบคุมการสืบสวนคดีนี้ พ.ต.อ.เชิดพงษ์ ยืนยันว่า ภาพในกล้องวงจรปิดแม้จะเห็นไกลๆ แต่เห็นชัดว่า ผู้ตาย เดินคล้ายจะเลี้ยวเข้าประตูสำนักสงฆ์แต่เกิดอะไรขึ้นบางอย่าง จึงเปลี่ยนใจ เดินต่อไปจนเลี้ยวเข้าซอย ความผิดปกติ ทำให้เขาเชื่อว่า อาจมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นตรงนั้นและอาจเกี่ยวพันมาสู่การฆ่าอย่างโหดเหี้ยม

ภาพจากอีจัน
ประเด็นลวงมาฆ่า ถูกตัดทิ้งไปแล้ว
ประเด็น ฆ่าชิงทรัพย์ ดูแล้วทรัพย์สินในตัวผู้ตายมีน้อยมาก เงินมีเพียง 120 บาท ซึ่งยังอยู่ครบ ตำรวจดูทรงแล้วไม่น่าใช่
ประเด็น ฆ่าหวังข่มขืน
ดูจากที่เกิดเหตุแล้ว ประกอบกับ เวลาเพิ่มทุ่มครึ่ง ซอยนั้นแม้จะมืดแต่ คนพลุกพล่าน รถเข้าออกแทบทุกนาที คิดจะลากไปข่มขืน คงยาก มุมอับก็ไม่มี เว้นจะลากเข้าสำนักสงฆ์ ซึ่งก็มีคนอยู่ ตำรวจจึงตัดประเด็นนี้ทิ้งประเด็นชู้สาว แอปเปิ้ล เป็นเด็กสาวหน้าตาดี มีเพื่อนชายคบหาอยู่บ้าง แต่เป็นการคบแบบทั่วไป แฟนคนปัจจุบันอายุ 12 ปี ศักยภาพไม่ได้ แฟนคนเก่าอายุ 17 ปี มีพยานยืนยันถิ่นที่อยู่ชัด ตัดไปประเด็นขัดแย้งในครอบครัว ไม่มีประเด็นเลย ไม่มีจริงๆเหลือประเด็นเดียว คือ เกิดเหตุซึ่งหน้าและนำพาไปสู่การฆาตกรรม แต่ใครล่ะ คือ ฆาตกร      ถึงตอนนี้ย้อนกลับไปที่ทีมสืบซึ่งกำลังอยู่ในพื้นที่ ทีมสืบสวนสแกนพื้นที่ชนิดเข้าทุกบ้าน เพื่อเอาข้อมูล ใครอยู่ ใครไปไหน ใครผิดปกติ กดดันไม่นานก็มีพลเมืองดี กระซิบว่า มีเด็กพม่า ชื่อ โม ซิน อ่าว ช่วยงานอยู่ที่แพมณเฑียร
ที่ใบหน้ามีรอยข่วนเป็นทางยาว ตอนนี้ เขาไปทำงานในเรือแล้ว ให้ตำรวจลองตรวจสอบดู
     เบาะแสนี้น่าสนใจ อย่างน้อย โม ซิน อ่าว ตัวเล็ก มีรอยข่วนที่หน้า และใช้ชีวิตไม่ห่างสำนักสงฆ์และที่เกิดเหตุมากนัก ทางประตูเล็กด้านข้างของสำนักสงฆ์ที่อาจจะเป็นเส้นทางหลบหนีของคนร้าย หากเดินตรงไปเรื่อยๆ สุดซอยจะเป็นแพมณเฑียร จุดที่เด็กหนุ่มคนนี้ช่วยงานอยู่ นับว่ามีความสอดคล้องมากๆ ตำรวจจึงตัดสินใจขอแรงตำรวจน้ำออกตามหาเรือที่ โม ซิน อ่าว ไปทำงานในช่วงนั้น ซึ่งหากดูเวลาแล้ว ช่วงเวลานั้นก็หลังเกิดเหตุไปประมาณ 20 วันแล้ว เมื่อหาเรือพบ ในเรือไม่ได้มีแต่โม ซิน อ่าว แต่มีพี่ชายเขาด้วย ตำรวจจึงนำตัวคนทั้งสอง มาสอบถามทั้งคู่ อีจันกระซิบถามตำรวจกองปราบปรามที่เป็นคนไปเอาตัว โม ซิน อ่าว มาจากในเรือว่า เขารับสารภาพทันทีหรือไม่ ตำรวจบอกเขารับสารภาพทันที แต่ซักรายละเอียดไม่ได้เพราะ ติดขัดที่ภาษา โม ซิน อ่าว พูดไทยได้ แต่ไม่คล่องแบบคนไทย จึงต้องใช้ ล่าม การสอบสวน จึงต้องใช้วิธีที่แตกต่างไป แต่อย่างไรก็ตาม ชุดสืบสวน ก็เริ่มขบวนการซักถามนานถึง 2 วัน โม ซิน อ่าว ก็ยอมสารภาพ ตำรวจจึงปล่อยพี่ชายของเขา คำสารภาพของโม ซิน อ่าว ในตอนนั้น แม้มีคำโกหกผสมบ้างแต่ตำรวจก็เริ่มมั่นใจว่า การคลี่คลายมาถูกทางแล้วโม ซิน อ่าว สารภาพว่า รอยแผลที่หน้าเกิดจากรอยข่วน ซึ่งแอปเปิ้ลเป็นคนข่วนหน้าเขาทำให้เขาโกรธและชักมีดแทงเธอตาย!!!
ภาพจากอีจัน


คำสารภาพกับพฤติกรรมโหดที่จ้วงแทงเด็กสาวถึง 17 แผล ในเวลาเพียง 2 นาทีเศษ ช่างเป็นความจริงที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง
โม ซิน อ่าว อายุ 14 ปี ทำไมจึงโหดได้ถึงเบอร์นี้ ? และนั่น คือ ข้อกังขาที่ตำรวจ ต้องพิสูจน์ให้แจ้งแก่ใจว่า คำรับสารภาพของเขาเป็นความจริงหรือไม่
โม ซิน อ่าว ยอมรับว่า เขาโกรธเพราะแอปเปิ้ล ด่าเขา คืนนั้นเขานั่งอยู่ใกล้ ประตูใหญ่ของสำนักสงฆ์ด้านที่ติดกับถนนใหญ่ ซึ่งแอบเปิ้ลผ่านมาพอดี เขาเพียงแซวว่า สบายดีไหมน้องสาว
กลับถูกด่าด้วยถ้อยคำที่รับไม่ได้ เมื่อตำรวจถามว่า ทำร่วมกับใคร โม ซิน อ่าว ตอบทันทีว่า เขาทำคนเดียว คราวนี้ ตำรวจไม่เชื่อ!!!

พยานพูดชัดว่ามี รองเท้าแตะวิ่งหลายคน
พยานในสำนักสงฆ์ บอกมีชายร่างเล็กวิ่ง 4 คน ดังนั้น ต้องมีคนร่วมอีก


เมื่อถูกซักไขว้ไปมา คนโกหกเริ่มไปไม่เป็น ในที่สุด โม ซิน อ่าว ก็เริ่มคายชื่อ เพื่อนร่วมแก๊งมาทีละทีละคน จนได้ชื่อ จอ โซ วิน, ไซ กะ เดา และ ซอ เล ทั้งหมดลงเรือไปทำงานแล้วเช่นกัน

ตำรวจจึงต้องตามไปหาตัว ไม่นานก็ได้กลับมาสอบสวนครบทุกคน

และเมื่อเข้าสู่กระบวนซักถาม คนอีก 3 คน ก็ยอมรับ สารภาพอย่างพร้อมเพรียงกัน

ภาพจากอีจัน

พวกเขารับสารภาพว่า ในช่วงเกิดเหตุ เขามานั่งเล่นที่หน้าสำนักสงฆ์ แอปเปิ้ลเดินผ่านมา
ซอ เล แซวว่า สบายดีหรือน้องสาว ก็ถูกแอปเปิ้ลด่ากลับ ทำให้ต่างรู้สึกโกรธ
โม ซิน อ่าว เดินไปหน้าสำนักสงฆ์แล้วชะโงกดูว่า สาวที่แซวเดินเลี้ยวเข้าซอยข้างสำนักสงฆ์หรือไม่ พอเห็นว่าเลี้ยวเข้า ทั้ง 4 คน ก็วิ่งจากประตูหน้าไปที่ประตูข้าง ซึ่งทะลุไปที่ซอยนั้น และนั่งดักรอจนเห็นแอปเปิ้ลเดินมา ก็เข้าไปล้อมกรอบ
โม ซิน อ่าว ถามว่า เมื่อกี้ด่าใคร?

แอปเปิ้ล บอก ด่ามึงนั่นแหล่ะ และข่วนเข้าที่หน้าอย่างแรง

โม ซิน อ่าว จึงโกรธมาก ชักมีดจ้วงแทง

จอ โซ วิน ต่อยเข้าที่หน้า

ส่วน ไซ กะ เดา ถือไม้ไผ่ที่เก็บได้จากในสำนักสงฆ์ฟาดเข้าที่หัว

มีคนกระชากมือไม่ให้แอปเปิ้ลวิ่งหนีและแทงต่อจนเธอล้มลง เขายังแทงเข้าที่หลัง จนมีเสียงเพื่อนบอกให้วิ่ง

เขาจึงวิ่งเป็นคนสุดท้าย มีคนหนึ่งรับด้วยว่า เป็นคนหยุดและปาก้อนหินใส่หมาที่เห่า 


        ทั้ง 4 คน วิ่งผ่านประตูข้างของสำนักสงฆ์ไปออกทางประตูเล็ก แล้วกระจายตัวแยกกันหนี ก่อนจะกลับรวมตัวกันในคืนนั้น
ตำรวจให้ทุกคนทำท่าทางในขณะร่วมกันทำร้ายให้ดู พร้อมทั้งให้เขียนแผนผัง ว่าจุดเริ่มต้นนั่ง กันอย่างไร วิ่งไปซุ่มยังไง และเข้าทำร้ายยังไง โดยถ่ายคลิปวีดีโอไว้ตลอด ไว้ซึ่งต่อมาคลิปนี้
ได้กลายเป็น หลักฐานสำคัญในชั้นศาลที่ทำให้ ศาลเชื่อว่าผู้ต้องหารับสารภาพ โดยไม่มีการ บังคับขู่เข็ญ

ภาพจากอีจัน
       หลังจากนั้น ตำรวจก็พาทั้ง 4 ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งก็บันทึกภาพเหตุการณ์ไว้เช่นกัน มีบางจุดที่ตำรวจวางตำแหน่งของแต่ละคนตามคำให้การแรก แต่ผู้ต้องหา ค้านว่า เขาไม่ได้ยืนในตำแหน่งนั้นๆ ขอแก้ไข ซึ่งพฤติกรรมของผู้ต้องหายิ่งทำให้ ดูเหมือนทุกคนเต็มใจรับสารภาพ ภาพที่ออกมาจึงทำให้หลายคนเกิดความสงสัย ทำไมผู้ต้องหาไม่มีท่าทีเครียด แต่กลับยิ้มและว่าง่ายเกินเหตุ แม้แต่แม่ของแอปเปิ้ลก็ยังไม่เชื่อ เมื่อทราบว่า เหตุที่ทำให้ลูกสาวตายนั้น เกิดเพียงเพราะด่าทอ กับเด็กชายพม่าที่พูดแซวเท่านั้น ตำรวจจึงจัดให้แม่ของผู้ตายและญาติๆ เข้าไปพูดคุยซักถามผู้ต้องหาด้วยตัวเอง ซึ่งฝ่ายผู้ตาย มีเชื้อสายเป็นชาวพม่า จึงพูดภาษาพม่าได้ ทั้งหมดจึงได้คุยกันด้วยภาษาพม่า โดยมีตำรวจ สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ แม่เล่าให้เราฟังว่า เหตุการณ์วันนั้นแม่ได้คุยกับผู้ต้องหาด้วยตัวเอง เจอหน้าถามเป็นภาษาพม่าเลยว่า มึงทำทำไม เขาก็แย่งกันพูดว่า ถูกด่า แม่เขายังไม่เคยด่าแบบนี้เลย คนที่ต่อยก็บอกว่า ต่อยหน้าหนึ่งที แล้วก็ทำท่าเสียใจ บอกว่า เขาก็มีน้องสาว เขาไม่คิดว่า เพื่อนจะมีมีดมาแทง จากนั้นก็ท่าทางเหมือนขอขมาการได้ฟังผู้ต้องหาพูดในครั้งนั้น ทำให้แม่ของผู้ตายหมดความแคลงใจและยอมรับความจริง เธอเพียงคิดว่า เด็กทั้งสองคงมีบางอย่างทำต่อกันมา จึงได้มาเจอกันในวัน เวลา และสถานที่นั้น

เวลาเพียง 2 นาที พรากลูกสาวจากอกเธอชั่วนิรันดร์

เวลาเพียง 2 นาที พรากอิสรภาพจากชีวิตเด็กพม่าทั้ง 4 คน

และเวลาเพียง 2 นาที ก็ทำน้ำตาของแม่ผู้ต้องหาอีก 4 คนไหลพราก

เพราะลูกชาย เล่าบางอย่างที่ต่างไป และทำหัวใจแม่ๆ…ร้าวราน 

ภาพจากอีจัน
หลังจากทำแผนประกอบคำรับสารภาพ แม่ๆ ได้เจอกับลูกชาย โดยมีทีมช่วยเหลือ แรกเริ่มนั้น คุณัญญา สองสมุทร หรือ ทนายหนึ่ง ทนายของมูลนิธิคาธอลิก และเจ้าหน้าที่สถานทูตเข้ามาดูแลในเบื้องต้น มีการพูดคุย ถึงเรื่องราวและการต่อสู้คดี ทีมช่วยเหลือบอกต้องการความจริง และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา คือ ผู้ต้องหาทั้ง 4 ก็กลับคำให้การ พร้อมแสดงรอยแผลที่คอและที่แขน อ้างว่า เขาถูกตำรวจทำร้าย จึงต้องยอมรับสารภาพแม่ของ โม ซิน อ่าว เล่าทั้งน้ำตา ว่าลูกชายถูกซ้อมทรมาน ถูกใช้ถุงพลาสติก ครอบหน้าทำให้ หายใจไม่ออก ซึ่งเขาต้องดิ้นรนอย่างมากและกลัวอย่างที่สุด ลูกชายขอร้องให้แม่ช่วยเขาด้วย ทนายหนึ่ง จึงประสานเครือข่ายช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนให้เข้ามาหาข้อมูล จนในที่สุดก็ได้ทนาย รัษฎา มนูรัษฎา จากสภาทนายความมาเป็นรองประธานคณะทำงานดูแลคดีนี้ ซึ่งผู้ต้องหายังยืนยันต่อทนายว่า เขาบริสุทธิ์ ไม่ได้ฆ่าใคร !!! 

ทางทนายความจึงดูรายละเอียดในสำนวน และก็พบบางอย่างที่ใช้เป็นข้อต่อสู้ในคดี คือ

1. รอยแผล มีบางรอยมีลักษณะไม่สอดคล้องกับ มีด ที่งมมาได้ตามคำรับสารภาพของ โม ซิน อ่าว บางรอยเล็กไป บางรอยใหญ่ไป

2. ผลการตรวจร่างกายของผู้ต้องหา มีแผลเป็นรอยจิกที่คอ ซึ่งบางรอยแพทย์ระบุว่า แผลนี้เพิ่งเกิด 3-5 วัน แต่ผู้ต้องหาถูกจับหลังเกิดเหตุแล้ว 20 วัน ซึ่งช่วง 3-5 วัน 

ผู้ต้องหา อยู่กับใคร ได้แผลมาอย่างไร มีการซ้อมทรมานหรือไม่

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
3. มีกล้องวงจรปิดและพยานที่แพมณเฑียร ยืนยันว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุ ผู้ต้องหาบางคนยังช่วยงานอยู่ที่แพ และมีพยาน 1 คน ยืนยันว่า วันเกิดเหตุ ช่วงนั้นเขายังขี่จักรยานไปส่ง โม ซิน อ่าว ที่บ้านและตอนนั้นเขายังได้ยินเสียงไซเรนด้วย ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะเมื่อไปดูภาพวงจรปิดที่แพมณเฑียร ก็เห็นสองคนขี่จักรยาน ออกไปจริง แต่น่าเสียดายที่การคำนวณหา เวลาจริงของกล้องมีค่าไม่แน่นอนการสืบพยานหลักฐานดำเนินไปอย่างเข้มข้น ทนายรัษฎา ใช้คำว่า เราได้ต่อสู้กันทางพยานและหลักฐานอย่างเต็มที่ทั้งสองฝ่าย และวันนี้ 19 เมษายน 2561 ก็เป็นวันตัดสิน เขียนมาก็ชักจะยาวเกินไป ติดตามคำพิพากษา ตอนหน้านะว่าศาลให้น้ำหนักในหลักฐานใด วันนี้จึงตัดสินลงโทษจำเลยทั้ง 4 คน ฟังเป็นชั่วโมง เมื่อยมากๆๆ ขอพักสัก 2 ชั่วโมง เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดๆ
ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน