(20 มี.ค.63) เมื่อเวลา 08.30 น. นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ประชุมหารือร่วมกับผู้อำนวยการศาลทั่วประเทศ จำนวน 284 หน่วยงาน ผ่านระบบ Streaming เพื่อแจ้งแนวทางการบริหารราชการ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัส COVID-19
1.เมื่อข้าราชการตุลาการผู้ใดเดินทางไปยัง หรือแวะผ่านหรือเปลี่ยนเครื่อง หรือมีบุคคลที่พักอาศัยในที่พักเดียวกันเดินทางไปยังเขตการปกครองที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส COVID-19 และกลับมาถึงประเทศไทยให้ข้าราชการตุลาการผู้นั้น มีหน้าที่แจ้งผู้มีอำนาจอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศทราบ ในวาระแรกสามารถทำได้นับตั้งแต่วันที่ข้าราชการตุลาการผู้นั้น หรือบุคคลที่ข้าราชการตุลาการผู้นั้นพักอาศัยในที่พักเดียวกันเดินทางกลับถึงประเทศไทย และให้ข้าราชการตุลาการผู้นั้นแยกตัวเป็นเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้าสังเกตอาการ โดยไม่ถือเป็นวันลา แต่ยังคงปฏิบัติราชการตามแนวทางที่ผู้รับผิดชอบราชการศาลกำหนด และให้ปฏิบัติตามคำแนะนำการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อเชื้อไวรัส COVID-19 ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
2.ในกรณีที่ข้าราชการตุลาการผู้ใด ไม่ได้เดินทางไปประเทศหรือเขตปกครองที่เสี่ยงต่อการติดโรคระบาด แต่ผู้นั้นมีอาการที่เสี่ยงติดเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ข้าราชการตุลาการผู้นั้นดำเนินการตามและปฏิบัติตามข้อ 1 แยกตัวเป็นเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้าสังเกตอาการ
3.หากแยกตัวเพื่อเฝ้าสังเกตอาการของข้าราชการตุลาการ ตามข้อ 1 และ 2 จนข้าราชการตุลาการผู้นั้นไม่อาจเดินทางมาศาลได้ ให้ผู้รับผิดชอบราชการศาลจัดให้ข้าราชการตุลาการอื่น เข้าปฏิบัติหน้าที่แทนตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม อย่าให้เป็นที่เดือดร้อนแก่คู่ความและประชาชนผู้มีอรรถคดี
1.ในระหว่างการพิจารณาคดีของข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม สามารถสวมใส่หน้ากากอนามัยได้
2.ข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม พึงอนุญาตให้ข้าราชการธุรการ คู่ความ ทนายความ ตลอดจนประชาชน ที่อยู่ร่วมห้องพิจารณาคดีเดียวกัน สวมใส่หน้ากากอนามัยได้ระหว่างพิจารณาคดี เว้นแต่มีเหตุความจำเป็น เช่นการรักษาความปลอดภัย การยืนยันตัวบุคคลในระหว่างสืบพยานเป็นต้น
3.ในระหว่างการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยภายในบริเวณศาล อนุญาตให้ผู้ต้องหาหรือจำเลย สวมหน้ากากอนามัยได้เว้นแต่มีเหตุจำเป็น เช่น การรักษาความปลอดภัย การยืนยันตัวบุคคลหรือบันทึกภาพ เป็นต้น
4.ในกรณีจำเป็นเมื่อได้รับความยินยอมจากคู่ความแล้ว ศาลอาจจัดให้มีการดำเนินกระบวนการพิจารณาผ่านระบบเทคโนโลยี โดยแยกคู่ความบางฝ่าย หรือพยานบุคคลให้อยู่ในพื้นที่อื่นภายในศาล
5.ให้ผู้รับผิดชอบราชการศาล กำกับดูแลปฏิบัติในเรื่องนี้ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนในการเข้าถึงการป้องกันรักษาสุขภาพอย่างไม่เลือกปฏิบัติ
ในกรณีการใช้แนวทาง ลดการเดินทางมาศาลและติดต่อราชการของประชาชน
1.ศาลพึงซึ่งส่งเสริมให้คู่ความและประชาชน ใช้แนวทางการยื่นส่งและรับคำฟ้อง คำให้การ คำคู่ความและเอกสารทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ e- filing ตามแนวทางที่กำหนดไว้
2.ในการสืบพยานและการพิจารณาคดี ศาลอาจพิจารณาคดีใช้แนวทางในการนำสืบพยานหลักฐานและการสืบพยานบุคคลที่อยู่นอกศาลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ
3.ศาลอาจใช้ดุลพินิจในการสืบพยานที่อยู่นอกศาลในลักษณะประชุมจอภาพ โดยถือว่าสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นเหตุจำเป็น
4.ให้ผู้รับผิดชอบราชการศาลพิจารณากำหนดมาตรการ ในการคัดกรองและป้องกันความเสี่ยงจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ภายในศาล ให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงมาตรการการควบคุมโรค เช่น กำหนดทางเข้าออกของบุคคลเพื่อตรวจคัดกรอง ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ หรือการเว้นระยะห่างของบุคคลเป็นต้น
ทั้งนี้ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ขอให้ทุกคนช่วยกันร่วมคิดร่วมทำ และสำนักงานศาลยุติธรรมพร้อมที่จะสนับสนุนด้านต่าง ๆ เพื่อให้บุคลากรของศาลมีความปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดี (health and safety first) สามารถฝ่าวิกฤตในสถานการณ์ครั้งนี้ไปได้
- หมอเผยแนวทาง “ปิดประเทศ 21 วัน” คุมโควิด 19 ตัวอย่างจากจีน
- ผวาทั้งคัน! ล็อคหญิงจีน ถ่มน้ำลายป้ายตัวเอง ก่อนย้ายที่นั่งทั่วรถทัวร์
- ชาวชุมชนเขตสาทรร่วมกันเย็บหน้ากากอนามัย ป้องกันโควิด-19
- 2 วัดดัง ปิด-งดเยี่ยมชม เลี่ยงโควิด-19