ไขข้อสงสัยทำไมโควิด-19 คร่าชีวิตผู้ชายมากว่าผู้หญิง

ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯเผยเหตุผล ทำไมโควิด-19 ถึงคร่าชีวิตผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลกในปัจจุบัน มีแนวโน้มคร่าชีวิตผู้ป่วย ‘เพศชาย’ สูงกว่า ‘เพศหญิง’จริงเหรอ?

วานนี้ 29 มี.ค.2563 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า
คณะผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นว่านอกจากภาวะร่างกายไม่แข็งแรง นิสัยบั่นทอนสุขภาพอย่างการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจทำลายปอดแล้ว อิทธิพลจากฮอร์โมนต่อการตอบสนองของภูมิคุ้มกันอาจมีบทบาทสำคัญในปรากฏการณ์นี้ด้วย
ดร. เดบราห์ เบิร์ซ หัวหน้ากองปฏิบัติการโควิด-19 ประจำทำเนียบขาวของสหรัฐฯ กล่าวระหว่างแถลงข่าวรายวันว่ามีรายงานจากอิตาลีที่เผยให้เห็นการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ของผู้ชายเกือบทุกช่วงอายุนั้นมีอัตราสูงกว่าผู้หญิง ซึ่งเป็น “แนวโน้มอันน่าวิตกกังวล”

ภาพจากอีจัน
สถิติจากหน่วยงานสาธารณสุขอิตาลีระบุว่าผู้ชายครองสัดส่วนร้อยละ 58 ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ทั้งหมด 13,882 ราย และร้อยละ 72 ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตระหว่างวันที่ 21 ก.พ.-12 มี.ค. โดยผู้ชายที่เข้าโรงพยาบาลมีแนวโน้มเสียชีวิตมากกว่าผู้หญิงถึงร้อยละ 75 ขณะสถิติจากประเทศอื่นๆ พบว่าผู้ชายเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 มากกว่าผู้หญิงเช่นกัน โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติจีน (CCDC) ชี้ว่าการเสียชีวิตของผู้ชายที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สูงกว่าผู้หญิงราวร้อยละ 65 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญมองว่านิสัยบั่นทอนสุขภาพอย่างการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักพบเจอในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งอาจทำลายปอดและเป็นปัจจัยพื้นฐานของอาการอักเสบขณะรักษาภาวะติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ข้อมูลจากสถาบันวิจัยที่ตรวจสอบความไม่เท่าเทียมทางเพศในระบบสุขภาพทั่วโลกอย่างโกลบอล เฮทธ์ 50/50 (Global Health 50/50) ระบุว่าผู้ชายมีแนวโน้มมีโรคประจำตัวหรือโรคแทรกซ้อน เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคปอดเรื้อรังมากกว่า “ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งเสริมการติดเชื้อขั้นรุนแรงอย่างมีประวัติสูบบุหรี่และโรคหัวใจระหว่างชายและหญิงก็แตกต่างกัน ส่วนระบบภูมิคุ้มกันของเพศทำงานไม่เหมือนกันด้วย” ซูซาน โควัทส์ นักภูมิคุ้มกันวิทยาและนักจุลชีววิทยา มูลนิธิวิจัยการแพทย์โอคลาโฮมา (OMRF) กล่าว โควัทส์เผยว่ามีการตรวจพบในมนุษย์และหนูทดลองว่าความแตกต่างทางเพศมีอิทธิพลต่อการอุบัติและความรุนแรงของการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ โดยมีความสัมพันธ์กับความแตกต่างของกิจกรรมเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกาย เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถตอบสนองต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) และฮอร์โมนทสโทสเตอร์โรน (testosterone) แต่ระดับที่แตกต่างกันของฮอร์โมนเหล่านี้ในชายและหญิงอาจมีบทบาททำให้การตอบสนองของภูมิคุ้มกันแตกต่างกัน โควัทส์ชี้ว่าการตอบสนองต่อไวรัสบางสายพันธุ์ เซลล์ของผู้หญิงจะผลิตโปรตีนชนิดอินเตอร์ฟีรอน (interferon) สูงกว่าเซลล์ของผู้ชาย โดยอินเตอร์ฟีรอนเป็นส่วนสำคัญในการตอบสนองของภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด ทำหน้าที่ต้านและชะลอการกระจายตัวของไวรัส “มีหลักฐานบ่งชี้ว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งเสริมการผลิตโปรตีนชนิดอินเตอร์ฟีรอน ดังนั้น กำลังการผลิตโปรตีนชนิดนี้ในปริมาณมากกว่าของผู้หญิงอาจช่วยลดการกระจายตัวของไวรัสและความเสียหายในปอดขณะติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ” โควัทส์อธิบาย ด้านดร. สแตนลีย์ เพิร์ลแมน ศาสตราจารย์ด้านจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา มหาวิทยาลัยไอโอวา ได้ศึกษาหนูทดลองเพศผู้และเพศเมียที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาก่อโรคซาร์ส (SARS) และโรคเมอร์ส (MERS) พบว่าหนูเพศผู้ติดเชื้อง่ายกว่าหนูเพศเมียทุกช่วงอายุ “หากถอดฮอร์โมนเอสโตรเจนออกจากหนูเพศเมีย พวกมันก็มีความไวในการติดเชื้อไวรัสโคโรนาก่อโรคซาร์สเหมือนหนูเพศผู้” เพิร์ลแมนกล่าว เคนต์ พินเคอร์ตัน ศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์เดวิส มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่าการตอบสนองของภูมิคุ้มกันระหว่างเพศชายและเพศหญิงอาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน แต่นักวิทยาศาสตร์ยังต้องศึกษาต่อไป เพื่อค้นหาวิธีรับมือการติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ดียิ่งขึ้น