หมัดน๊อกชนะโควิด จาก นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ

นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวงสาธารณสุข เผย ต้องเรียนรู้โรคโควิด-19 ถึงจะสู้ชนะ

จันอยากให้ทุกคนได้อ่าน น่าจะเป็นประโยชน์กับเรามากๆในช่วงวิกฤตนี้ บทความนี้ถูกเขียนโดย นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวงสาธารณสุขค่ะ ท่านให้ความรู้เรื่องโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 หากรู้จักโรคนี้มากขึ้น เราก็จะรู้วิธีการรับมือกับมัน

ภาพจากอีจัน
“เรียนรู้โรค โควิด-19 จึงสู้ชนะครับ!” 1) หลังร่างกายได้รับเชื้อโควิด 19 ส่วนใหญ่จะแสดงอาการภายในวันที่ 5 ภายหลังจากการรับเชื้อ ระยะของการฝักตัว (เมื่อได้รับเชื้อจนมีอาการป่วย) 1-14 วัน 2) ความสามารถในการแพร่โรคของผู้ป่วย 1 คน แพร่โรคได้ 2.5 คน – บางกรณีที่มีผู้แพร่โรคให้กับคนอื่นได้มากกว่าปกติ หรือที่เรียกว่า “super spreader” และการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ความสามารถในการแพร่โรคจะสูงขึ้น เช่น สนามมวย สถานบันเทิง ซึ่งในช่วงนั้นประเทศไทยมีค่าความสามารถในการแพร่โรคอยู่ที่ ผู้ป่วย 1 คนแพร่โรคได้ 3.6 คน – ขณะนี้ประเทศไทยมีค่าความสามารถในการแพร่โรค ผู้ป่วย 1 คนแพร่โรคได้ ~ 1-2 คน 3) การติดต่อของโรคคือ 2 ทางหลัก – ได้รับเชื้อไวรัสโดยตรง เมื่ออยู่ในระยะใกล้ชิดกับผู้ป่วย และมีผู้ที่ไอหรือจาม ที่ไม่มีการป้องกันตนเอง – ผู้ป่วยไอ จาม และมีละอองเชื้อฝอยทิ้งไว้ในพื้นผิวสัมผัสทั่วไป แล้วผู้อื่นก็มาจับละอองฝอยเชื้อเข้าสู่ร่างกายด้วยการนำมือสัมผัสใบหน้า เช่น ปาก จมูก ตา 4) ขอให้แบ่งง่ายๆ เป็น 2 กลุ่ม – กลุ่มผู้ป่วย (ที่มีอาการคล้ายไข้หวัด) ต้องสวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ซึ่งสามารถลดการแพร่กระจายของละอองเชื้อได้ถึงร้อยละ 97 เนื่องจากปริมาณละออง ความเร็ว ระยะทางที่เคลื่อนที่ไปได้จะลดน้อยลง ล้างมือ และทบทวนประวัติเสี่ยง ไปพบแพทย์ “ต้องเล่าความจริงทั้งหมด” ครับ – ผู้ที่ยังไม่ป่วย แนะนำให้สวมหน้ากากชนิดผ้า เพื่อป้องกัน รวมถึงการทำความสะอาดพื้นผิวด้วยการเช็ดน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ และหลีกเลี่ยงการนำมือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ และหมั่นล้างมือให้สะอาด 5) เชื้อไวรัสโควิด-19 โดยทั่วไปจะอยู่ในสภาพแวดล้อม ประเทศไทยอากาศร้อน อยู่ได้ 6 ชั่วโมง และสูงสุด 24-72 ชั่วโมง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นผิวและอุณหภูมิ หากอุณหภูมิสูงเชื้อจะมีอายุที่สั้นลง 6) อาการของโรคโควิด 19 – มีความแตกต่างในเด็กและผู้ใหญ่ คือ เด็กจะมีอาการน้อยกว่า • สำหรับเด็ก… – ร้อยละ 42 จะมีอาการไข้ – ร้อยละ 49 มีอาการไอ – ร้อยละ 8 มีน้ำมูก – ร้อยละ 7 มีอาการอ่อนเพลีย • สำหรับผู้ใหญ่ – ร้อยละ 89 จะมีอาการไข้ – ร้อยละ 68 มีอาการไอ (อาการหลักที่สำคัญ) – ร้อยละ 14 จะมีอาการเจ็บคอ – ร้อยละ 15 มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ – ร้อยละ 5 มีน้ำมูก – ร้อยละ 38 มีอาการอ่อนเพลีย 7) หากมีอาการของปอดอักเสบจะเริ่มแสดงอาการ เหนื่อย หอบ หายใจเร็วและลำบาก ช่วงอายุมีผลต่ออัตราการเสียชีวิต – กลุ่มอายุ 10-19 ปีมีโอกาสต่ำมาก – กลุ่มอายุ50-59 ปี มีโอกาสเสี่ยงสูง – กลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไปมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก (หากมีผู้ป่วยช่วงอายุนี้ 100 คน จะมีอัตราเสียชีวิตถึง 15 คน) กลุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อและมีอาการรุนแรงสูงกว่าคนทั่วไปและเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ได้แก่ – ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี – ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โรคประจำตัว เช่น โรคหลอดเลือดสมอง/หัวใจ อัมพาต โรคไตวายเรื้อรัง โรคถุงลมโป่งพอง โรคอ้วน โรคตับแข็ง โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ และคนอ้วน (ผู้ที่มีดัชนีมวลมากกว่า 35 กก/ต่อตารางเมตร) 8. ความรุนแรงของโรค แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยติดเชื้อทุกคนไม่ได้มีอาการที่รุนแรง – ในผู้ติดเชื้อ 100 คน พบว่า 80 เป็นผู้ป่วยมีอาการน้อยถึงน้อยมาก สามารถหายได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องรับยาต้านไวรัส และ 30 คนใน 80 คน เป็นการติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันแต่ไม่มีอาการ นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่หากจะดีที่สุดคือการไม่ติดเชื้อเลย – ในผู้ติดเชื้อ 100 คน พบว่า 20 คน เป็นผู้ป่วยที่อาจจะต้องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล – 5 คนใน 20 คน จะมีอาการรุนแรงและจะต้องได้รับการรักษาพยาบาลในกรณีพิเศษ 9) กรณีการเสียชีวิตจะเฉลี่ยคือ ผู้ป่วย 100 ราย จะมีผู้ที่เสียชีวิตร้อยละ 1.4 แต่ความรุนแรงของการเสียชีวิตจะแตกต่างกัน (น่าเชื้อว่า น่าจะน้อยกว่า ร้อยละ 1 10) ขณะนี้มีการใช้ยาต้านไวรัสในการรักษาตามอาการ ได้แก่ Favipiravir ที่เป็นยาหลัก Remdesivir อยู่ในขณะศึกษาวิจัย ส่วนยากลุ่มเสริมคือ Lopinavir+Ritonavir / Darunavir+ Ritonavir เป็นยาต้านไวรัสเอดส์ และ Cloroquine ซึ่งเป็นยารักษาโรคมาลาเรีย โดยในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีน และในหลายประเทศได้เร่งทำการศึกษาวิจัยอยู่ สิ่งสำคัญ หมัดน๊อกชนะโควิด 19 คือ 1) ลดและชะลอการติดเชื้อให้มากที่สุด (คนติดเชื้อมาก รนก็ตายมาก เช่น ถ้าติดเชื้อ จำนวน 1,000,000 คนพร้อมๆ กัน จะมีคนตาย ~ 20,000-100,000 คน เพราะระบบและหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รับมือไม่ได้ และหมอพยาบาลอาจตายร่วมด้วย) 2) ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก บุกกลุ่มเสี่ยง และตรวจ lab 25,000 – 50,000 คน กรุณาอย่ากลัวพบผู้ป่วยมาก เราต้องบุก ค้น และตรวจให้มาก จำนวนผู้ป่วยไม่ใช่ความผิด แต่เราต้องรู้ความจริง เพื่อตีวงกลุ่มเสี่ยงเพื่อควบคุมโรคแบบเด็ดขาดครับ นี่คือ “หมัดน๊อก 3) หมัดน๊อกง่ายๆ คือ พลังความร่วมมือทุกคน ปฏิบัติตามมาตรการ ที่แนะนำ ถ้าทำได้ มากกว่า ร้อยละ 90 เราชนะแน่นอนครับ