พ่อเเม่สหรัฐฯบางกลุ่มหัวเสียใส่ลูก เพราะพิษโควิด

นักวิจัยสหรัฐฯ สำรวจ ความเครียดพ่อเเม่ หลังเมืองถูกปิดเพราะพิษโควิด พบบางส่วนเครียดจนหัวเสียใส่ลูกเพราะปัญหาถาโถม

สำนักข่าวซินหัวเผยว่า เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยมิชิแกน (UM) ระบุว่า ความเครียดและความไม่แน่นอนอันเกิดจากโควิด-19 ได้ถาโถมเข้าใส่เหล่าผู้ปกครอง ขณะที่ลูกๆ ของพวกเขาได้รับผลกระทบทั้งทางกายและใจเช่นเดียวกัน

คณะนักวิจัยได้จัดทำแบบสำรวจความคิดเห็นทางออนไลน์เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงประมาณ 1 สัปดาห์หลังทำเนียบขาวประกาศให้ทุกฝ่ายเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อชะลอการแพร่ระบาดของไวรัส การสำรวจดังกล่าวมีผู้ใหญ่เข้าร่วม 562 คน โดยในจำนวนนั้นมี 288 คน หรือร้อยละ 51 เป็นผู้ปกครองของเด็กอย่างน้อย 1 คนที่มีอายุ 12 ปีลงไป
ผู้ตอบแบบสอบถามรายงานเกี่ยวกับสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ การเลี้ยงดูเด็กที่บ้าน และสถานการณ์เศรษฐกิจของพวกเขาในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งยังให้คำตอบสำหรับคำถามปลายเปิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กๆ และลักษณะการเลี้ยงดูของพวกเขาที่เปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่วิกฤตสุขภาพนี้ลุกลามไปทั่วโลก

ภาพจากอีจัน
ผู้ปกครองส่วนใหญ่ระบุว่าพวกเขารู้สึกใกล้ชิดกับลูกมากขึ้นระหว่างอยู่ที่บ้านด้วยกัน ขณะที่พ่อแม่บางส่วนเผยว่าการอยู่ด้วยกันมากขึ้นทำให้พวกเขาลงโทษลูกอย่างรุนแรง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ผู้ปกครองประมาณร้อยละ 50 กังวลว่าจะไม่มีเงินพอจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยมีร้อยละ 55 ถึงกับกังวลว่าจะหมดตัวจากสถานการณ์นี้ ผู้ปกครองร้อยละ 52 กล่าวว่าปัญหาด้านการเงินกระทบต่อการเลี้ยงดูลูกของพวกเขา ขณะที่ร้อยละ 50 ระบุว่าพวกเขพยายามปฏิบัติตามแนวทางการแยกตัวทางสังคม ผู้ปกครองประมาณ 1 ใน 6 กล่าวว่าพวกเขาตบหรือตีลูกอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ร้อยละ 11 กล่าวว่าพวกเขาทำเช่นนั้นตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป อัตราการตะโกน โวยวาย และกรีดร้องใส่เด็กพุ่งสูง โดยมีผู้ปกครอง 4 ใน 10 ที่บอกว่าพวกเขาทำสิ่งนี้ 2-3 ครั้งหรือมากกว่านั้น ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อถูกถามว่าพฤติกรรมเหล่านี้เพิ่มขึ้นจากปกติหรือไม่ ร้อยละ 19 ระบุว่าพวกเขาตะโกนหรือกรีดร้องมากกว่าปกติ ขณะที่ร้อยละ 15 ระบุว่าพวกเขาได้เพิ่มกฎระเบียบในบ้านนับตั้งแต่เกิดโรคระบาด “เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้ถูกรวบรวมจากช่วงแรกที่มีคำสั่งปิดเมืองเพื่อป้องกันการระบาดใหญ่ของโควิด-19 โรนาไวรัส เราจึงคาดว่าอัตราเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอีกในภายหลัง เพราะสภาพเศรษฐกิจที่แย่ลงและระดับความเครียดของผู้ปกครองที่เพิ่มขึ้น” ชาวน์นา ลี ผู้นำในการเขียนผลการศึกษา และ ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการวิจัยบริบทการเลี้ยงดูเด็กของมหาวิทยาลัยกล่าว (UM Parenting in Context Research Lab) คณะนักวิจัยยังบันทึกว่าการค้นพบเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์ โดยมีร้อยละ 88 ของผู้ปกครองที่ระบุว่าพวกเขาและลูกได้แสดงความรักต่อกันในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา