ศบค. ย้ำยังไม่ผ่อนปรนเคอร์ฟิว หวั่นทำผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม

นพ.ทวีศิลป์ โฆษก ศบค. ยืนยัน หากผ่อนคลายเคอร์ฟิวเร็วเกินไป อาจมีผู้ป่วยโควิดรายใหม่เพิ่ม ยกเคสญี่ปุ่น เทียบ

16 เมษายน 2563 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างแถลงสถานการณ์โควิด-19 ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการเคอร์ฟิว ถ้านับจากวันที่ 3 เมษายน 2563 จนถึงวันนี้ก็ครบ 14 วัน ทำให้ผู้ป่วยรายใหม่และสถานการณ์การระบาดในไทยดีขึ้นอย่างชัดเจน

ภาพจากอีจัน

“ผลของวันนี้ที่ดีมาจากเราทำเมื่อ 14 วันที่แล้ว คือวันที่ 3 เมษายน 2563 ซึ่งเราประกาศเคอร์ฟิวเป็นวันแรก แล้ววันนี้เราบอกว่าเราจะผ่อนปรนแล้ว พรุ่งนี้สถานการณ์ยังดีอยู่นะครับ แต่อีก 14 วันข้างหน้า อาจจะมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อศึกษามาตรการของเกาหลีใต้ซึ่งสามารถควบคุมตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มได้ดีนั้น พบว่ามี 4 นโยบายหลักคือ
1.เปิดเผยข้อมูลความโปร่งใสของผู้ติดเชื้อรายใหม่
2.การกักกันเชื้อการชะลอการแพร่ระบาด
3.ระบบการตรวจโรคและการรักษา
4 การคัดกรองอย่างกว้างขวาง massive screening และระบบการติดตามผู้ป่วยสงสัย fast tracking of suspect cases ซึ่งส่วนนี้ประเทศไทยยังค่อนข้างปล่อยไม่ได้ติดตามอย่างเกาหลีใต้ ซึ่งศึกษาลึกลงไปจะพบว่าเกาหลีใต้ใช้แอปพลิเคชั่นในการติดตามตัวผู้ป่วยรวบรวมประวัติติดเชื้อแพร่ข้อมูลเป็นแผนที่ Corona Map site ระบบแจ้งเตือนทางประชาชนเป็นพื้นที่สีเขียวเหลืองแดง

ส่วนในประเทศจีน ผลตรวจผู้ต้องสงสัยติดเชื้อโควิด 6,764 คน พบว่ามีเพียง 1,297 คนเท่านั้นที่มีอาการป่วย หรือ 19.1 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นไม่มีอาการแต่เป็นพาหะนำโรคจึงเกิดความกังวลว่าจะมีการระบาดเป็นวงกว้างและรวดเร็วกว่าที่คิดอีกครั้ง

“นอกจากนี้ยังพบว่ามีอีก 2 อาการเพิ่มเติมคือการสูญเสียการได้กลิ่น และการรับรส เป็นตัวบ่งชี้และเชื่อกันว่า คนที่ติดเชื้อไวรัสจะแสดงอาการดังกล่าว 2 อาการนี้ถึงแม้เป็นอาการน้อยๆ ต้องสงสัยว่าท่านอาจจะติดเชื้อโควิด-19 แล้ว แต่ตรงนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่ข้อสงสัยอยู่เท่านั้น ถ้ายาวนานหลายวัน และรวมกับมีไข้ให้รีบพบแพทย์”

ส่วนที่ญี่ปุ่น ตอนนี้สถานการณ์ทรุดหนักทางการเตือนอาจมีติดเชื้อเพิ่มอีกหลายแสนคน มีรายงานการติดเชื้อเพิ่ม 400 กว่ารายใน 1 วัน หากยังไม่ปฏิบัติตามระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด อาจจะมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 850,000 คนทั่วประเทศ และอาจมีผู้เสียชีวิตถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าว เพราะญี่ปุ่นมีประชากรผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก ทั้งนี้เพิ่งประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังใช้แนวทางผ่อนคลายทางด้านธุรกิจบริษัทต่างๆ ยังคงอนุญาตให้พนักงานไปทำงานที่บริษัท และยังใช้ระบบขนส่งมวลชน

นพ.ทวีศิลป์ ระบุอีกว่า นี่อาจเป็นการทำให้เกิดการติดเชื้อและตัวเลขเพิ่มขึ้นมาเป็น 2-3 หลักในทุกๆ วัน

“ถ้าเราเรียนรู้อย่างนี้ ญี่ปุ่นก็ตัวเลขที่เป็นกราฟชันขึ้นมา เพราะฉะนั้นการ์ดอย่าตกอย่างที่ผมพูด มันเกิดขึ้นแล้วในประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ สิ่งที่ท่านเรียกร้องว่าอยากจะผ่อนคลาย ดูจากประเทศที่เขาทำมาก่อนเรา ผลออกมามันเป็นอย่างไร”

ภายในเร็ววันนี้การผ่อนคลายยังทำไม่ได้ เนื่องจากหากมีการผ่อนคลายเร็วเกินไปจะทำให้อีก 14 วันนับจากวันผ่อนคลายมีโอกาสสูงที่จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศจะเพิ่มขึ้นในระดับหลายร้อยคนเหมือนหลายประเทศที่ทดลองมาตรการผ่อนคลายมาแล้ว เช่น ประเทศสิงคโปร์ และญี่ปุ่น นพ.ทวีศิลป์ กล่าวในตอนท้าย