(14 พ.ค. 63) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า มีรายงานพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่มีส่วนเชื่อมโยงกับร้านอาหารแมคโดนัลด์ในรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย รายใหม่ 2 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยรวมอยู่ที่ 8 ราย จนถึงตอนนี้ ครึ่งหนึ่งของผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อคือพนักงานของร้าน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นสมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิดกับคนงาน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับต้นเหตุของการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนครั้งนี้
ภาพจากอีจัน
แอนดรูว์ เกรกอรี (Andrew Gregory) ซีอีโอของแมคโดนัลด์แห่งออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุท้องถิ่น 3AW ว่าพนักงานเกือบ 100 คนในร้านได้รับการทดสอบหาเชื้อแล้ว “พนักงานส่วนใหญ่มีผลเป็นลบ (แต่) ก็มีความเป็นไปได้ที่เราจะเจอพนักงานที่มีผลเป็นบวกในจำนวนเล็กน้อย กรมอนามัยกำลังสืบสวนเรื่องนี้ เรากำลังทำงานกันในประเด็นนี้อย่างจริงจัง” เขากล่าว ร้านแมคโดนัลด์สาขาดังกล่าวกลับมาเปิดทำการได้อีกครั้งในวันพุธ โดยมีพนักงานจากร้านแมคโดนัลด์สาขาใกล้เคียงมาทำหน้าที่แทน ขณะเดียวกัน กรณีการติดเชื้อเป็นกลุ่มที่พบก่อนหน้านี้ในโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ของรัฐวิกตอเรีย พบผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันผลเพิ่ม 3 ราย ส่งผลให้จำนวนรวมอยู่ที่ 90 ราย เบรตต์ ซัตตัน หัวหน้าคณะทำงานด้านสุขภาพของวิกตอเรียยอมรับว่า การระบาดสามารถได้รับการจัดการที่ดีกว่านี้ และกล่าวว่าเขาจะรับมือด้วยวิธีที่แตกต่างออกไปหากเจอสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต “ผมคิดว่าเมื่อเราพบผู้ติดเชื้อรายแรกๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าน่าจะเกิดการติดเชื้อในสถานที่ทำงาน เมื่อนั้นเราคงต้องปิดดำเนินกิจการในทุกส่วน ผมรู้ว่ามันเป็นการเรียกร้องที่ใหญ่หลวง เมื่อเกิดกรณีการติดเชื้อในที่ทำงานที่มีคนงานมากกว่า 1,000 คน แต่คุณก็ต้องพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่และสิ่งที่เกิดขึ้นในต่างประเทศด้วย” ซัตตันกล่าว การทดสอบอย่างกว้างขวางในรัฐวิกตอเรียทำให้พบผู้ติดเชื้อที่ไม่ทราบต้นตออีก 9 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อรวมทั้งหมดในรัฐอยู่ที่ 1,523 ราย