ทรัมป์ขู่หยุดให้เงินสนับสนุนองค์การอนามัยโลกถาวร

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่จะตัดเงินทุนที่สหรัฐฯให้องค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นการถาวร หากทางองค์การไม่ยอมรับ มาตรการปรับปรุงสำคัญ ภายใน 30 วัน

(19 พ.ค.63) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ที่วอชิงตัน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่จะตัดเงินทุนที่สหรัฐฯให้องค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นการถาวร หากทางองค์การไม่ยอมรับสิ่งที่เขาเรียกว่า “มาตรการปรับปรุงสำคัญภายใน 30 วันข้างหน้า”

ทรัมป์ได้โพสต์เนื้อหาในจดหมายที่เขาเขียนถึง ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ในทวิตเตอร์ของเขา พร้อมเสริมว่าเขาอาจคิดทบทวนเรื่องที่ว่าสหรัฐฯ ควรเป็นสมาชิกขององค์การนี้หรือไม่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่โลกยังคงต่อสู้กับการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ซึ่งมีผู้ติดโรคร้ายนี้มากกว่า 4.8 ล้านรายทั่วโลกและมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้กว่า 318,000 รายแล้ว

ภาพจากอีจัน


สหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวที่รายงานพบผู้ติดโรคดังกล่าวมากกว่า 1.5 ล้านรายและมีผู้เสียชีวิตกว่า 90,000 ราย อ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระบบ (CSSE) ของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) โดยสถิติทั้งสองนั้นสูงกว่าตัวเลขของประเทศหรือภูมิภาคอื่นๆ

ทรัมป์เคยประกาศไว้เมื่อกลางเดือนเมษายนว่า รัฐบาลของเขาจะหยุดการระดมทุนให้แก่องค์การอนามัยโลก ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่าการกระทำเช่นนี้ส่งผลให้เกิดการโยนความผิดกันไปมา และเป็นปฏิปักษ์ต่อการแก้ไขปัญหาสาธารณสุข

โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า ช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ควรใช้ในการรับมือกับโรคโควิด-19 ได้สูญเปล่าไปแล้ว

“เป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อคิดถึงความหวาดกลัว ความสูญเสีย และความเจ็บปวดที่คงไม่เกิดขึ้น หากประธานาธิบดีไม่ปล่อยให้เวลาสูญเสียไปมากขนาดนี้และลุกขึ้นมารับผิดชอบ” ไบเดนกล่าวผ่านช่องทางออนไลน์ “เราต้องจมอยู่กับการถูกปฏิเสธ ความล่าช้า และความว้าวุ่น”
ก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายน โรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (USC) ได้กล่าวชื่นชมองค์การอนามัยโลกว่า “องค์การอนามัยโลกก่อตั้งมาเนิ่นนานและยังคงเป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยมของเรา เราจึงตั้งมั่นจะทำทุกสิ่งที่ทำได้ร่วมกับองค์การนี้ เพื่อยับยั้งโควิด-19” เรดฟิลด์กล่าว “เราได้ทำงานร่วมกันเพื่อต่อสู้กับวิกฤตสุขภาพทั่วโลกมาหลายครั้งแล้ว และจะยังคงทำเช่นนั้นต่อไป”