เปิดเส้นทางใหม่ ขึ้นภูเหล็กไฟ เดินทะลุลงป่าสวนยางใกล้บ้านน้องชมพู่ได้

คืบหน้าคดีน้องชมพู่ แม่และญาติ ไม่เชื่อเด็กเดินไปเอง คาใจหลายประเด็น พร้อมเปิดเส้นทางใหม่ขึ้นภูเหล็กไฟ

ยังคงเป็นปริศนากับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ หลังพบศพบนภูเหล็กไฟ เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2563 แม้ผลชันสูตรศพ ระบุน้องขาดอาหาร ขาดน้ำ เสียชีวิต และแพทย์สันนิษฐานว่า น้องอาจจะเดินหลงป่าเสียชีวิตเองจากบาดแผลและสภาพศพ

แต่คนในพื้นที่ ทั้งพ่อแม่และญาติน้องชมพู่ ไม่เชื่อว่าน้องจะเดินหลงป่าไปเสียชีวิตเอง

เมื่อวานนี้ (18 ก.ค. 2563) ทีมข่าวได้สำรวจเส้นทางขึ้นภูเหล็กไฟ พบว่า เป็นเส้นทางที่ไม่ลาดชัน สามารถเดินไปที่จุดพบศพน้องชมพู่ได้ โดยเส้นทางนี้ต้องเดินเข้าทางลานโคกเพียง บ้านกกตูม หมู่บ้านใกล้ๆ กับบ้านกกกอก

ภาพจากอีจัน
นายเด่น เชื้อคมตา นายพรานบ้านกกตูม ซึ่งชำนาญการเดินขึ้นภูและหาของป่ามากว่า 30 ปี พาทีมข่าวไปสำรวจจุดที่สามารถขึ้นไปยังภูเหล็กไฟที่พบศพน้องชมพู่ได้ โดยเดินขึ้นทางลานโคกเพียง และเส้นทางนี้ไม่ลาดชัน มีโขดหินน้อย ตลอดเส้นทางพบ ขี้วัวขี้ควาย และการเขี่ยดินของไก่ป่า เส้นทางนี้มีระยะทางประมาน 2.2 – 2.5 กิโลเมตร หากเทียบกับทางสวนยางหลังบ้านน้องชมพู่เส้นทางนั้นมีระยะเพียง 1.7 กิโลเมตร ขณะที่ทางลงก็พบว่า สามารถเดินมาทะลุป่าสวนยาง และบนถนนใหญ่ ใกล้กับบ้านพ่อแบม และบ้านลุงพล ชาวบ้านบ้านกกกอกได้
ภาพจากอีจัน
ประกอบกับช่วงเวลาที่น้องหายตัวไป ก็มีชาวบ้านได้ยินเสียงคล้ายคนวิ่งและเดินบริเวณป่าสวนยางนี้ จนทำให้หมาเห่าเสียงดังแต่ไม่มีใครออกมาดูเพราะดึกมาก และใกล้กับป่าสวนยางนี้ก็มีกระต๊อบของชาวบ้านในสวนยางนี้อยู่ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครแสดงตัวว่ากระต๊อบนี้เป็นของเจ้าของสวนยาง หรือของชาวบ้านที่มาอาศัยในสวนยางนี้ พรานเด่น บอกว่า จากเส้นทางที่ไปจุดพบศพน้อง มีหลายทางแต่เชื่อว่าเด็กเดินขึ้นภูมาเองได้ แต่วันที่น้องหาย ช่วงนั้นอากาศร้อนจัด และน้องไม่ได้กินน้ำ ถ้าหากจะเสียชีวิตไม่น่าจะเสียชีวิตยังจุดที่พบศพ และถ้าหาก มีคนพาน้องขึ้นไปจนเสียชีวิต หรือตั้งใจฆ่าน้อง ไม่น่าจะพาไปสูงขนาดนั้น ส่วนที่ชาวบ้านตามหาน้องไม่เจอทั้งๆ ที่พากันขึ้นภู ส่วนหนึ่งก็เชื่อหมอธรรม ที่บอกว่า น้องอยู่จุดอื่นไม่ได้ขึ้นภู ทั้งๆ ที่ชาวบ้านเดินใกล้ถึงจุดพบศพแล้ว แต่ก็ต้องถอยกลับไปเพราะเชื่อในความคิดเห็นของหมอธรรม
ภาพจากอีจัน
นอกจากนี้ พรานเด่น ยังเปิดเผยกรณีกระแสข่าวว่า ช่วงน้องชมพู่หายมีการลือว่า มีนายพรานได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ในภูนั้น คนที่ได้ยินไม่ได้ออกไปตามหาน้องหรือหาของป่า แต่นอนอยู่บ้าน และโทรมาบอกชาวบ้านที่ตามหา ซึ่งกลุ่มนายพรานพวกตนออกหาของป่า ไม่มีใครได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ และถ้ามีการร้องไห้ในภู บางครั้งก็ไม่ได้ยินเสียง
ภาพจากอีจัน
ส่วนของแม่น้องชมพู่และญาติ ยังเชื่อว่า แม้จะมีเส้นทางใหม่หรือจุดใด น้องชมพู่ก็ไม่สามารถเดินไปเองได้ขนาดนั้น หากจะเดินหลงป่าจริงคงแค่ใกล้ๆ บ้านน้องก็ร้องไห้แล้ว แต่นี่น้องไปไกลมาก และไม่พบบาดแผลที่เท้าหรือรอยพุพอง เพราะน้องใส่รองเท้าแตะ ซึ่งหากเดินไปไกลขนาดนั้นสภาพเท้าต้องไม่เป็นเช่นนี้ รวมทั้งรองเท้าน้องด้วย และเสื้อที่หายไป ผมที่โดนตัด มีหลายประเด็นที่คาใจ จึงไม่เชื่อน้องจะหลงป่าเอง