สภาอุตสาหกรรมฯ หวั่น ช่วงท้ายปีคนไทยอาจตกงาน 3,397,979 คน

สภาอุตสาหกรรมฯ เผย ต.ค.62 – ก.ค.63 พบคนไทยตกงาน 896,330 คน คาดช่วงท้ายปีอาจตกงานสูงถึง 3,397,979

วันนี้ (23 ก.ค. 63) ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 จะเห็นว่า ในหลาย ๆ กิจการ ผู้ประกอบการได้ทำการ “ปิดกิจการ” กันหลายแห่ง ส่งผลให้ลูกจ้างตกงานกะทันหัน
ล่าสุด สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงจำนวนผู้ตกงานในช่วงพิษเศรษฐกิจโควิด-19 ว่าหลังสถานประกอบการใช้มาตรา 75 “หยุดกิจการชั่วคราว” หากนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 62 ถึงเดือนกรกฎาคม 63 มีสถานประกอบการหยุดกิจการชั่วคราวแล้ว 4,458 แห่ง ส่งผลกระทบต่อลูกจ้างสูงถึง 896,330 คน และลูกจ้างที่ว่างงานจากกรณีลาออก เลิกจ้างจากการปิดกิจการ 332,060 คน รวมทั้ง มีผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 ที่ใช้สิทธิประโยชน์กรณีว่างงานฯ 62% กว่า 1,369,589 คำร้อง

คาดจะมีเพิ่มขึ้นอีกในช่วงเดือนสิงหาคม ถึงเดือนตุลาคม 2563 หากมีการขยายมาตรการฯ กว่าอีก 800,000 คน รวมจะมีลูกจ้างในระบบที่ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 3,397,979 คน 


นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทย มีประชากรทั้งหมด 66.5 ล้านคน แบ่งผู้มีงานทำเป็นจำนวน 37.3 ล้านคน
– ภาคบริการ 47%
– ภาคเกษตรกรรม 30%
– ภาคการผลิต 23%
โดยข้อมูลเมื่อเดือนมีนาคม 2563 มีผู้ว่างงานจำนวน 0.39 ล้านคน และผู้รอฤดูกาลจำนวน 0.49 ล้านคน ซึ่งแยกออกเป็น
1) แรงงานที่มีรายได้ประจำ (มาตรา 33) ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการของประกันสังคม จำนวน 11 ล้านคน
2) อาชีพอิสระ (มาตรา 39, 40) ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการเยียวยา 5,000 บาท จำนวน 8 ล้านคน
3) เกษตรกร ได้รับการช่วยเหลือจากมาตรการเยียวยา 15,000 บาท จำนวน 17 ล้านคน
4) ข้าราชการ ได้รับเงินเดือนหรือบำนาญเต็มจำนวนตามปกติ จำนวน 2 ล้านคน

คาดว่าธุรกิจการขายส่ง–ปลีก การผลิต และโรงแรมจะมีความเสี่ยงการว่างงานสูงที่สุด

ส่วนสถานการณ์การว่างงานและเลิกจ้าง พบว่า 3 อันดับแรก ของกิจการที่ใช้มาตรา 75 คือ ภาคการผลิต, โรงแรมและภัตตาคาร และบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและบริการทางธุรกิจ ตามลำดับ โดยภาครัฐควรพิจารณาออกมาตรการช่วยเหลือนายจ้างและลูกจ้างเพิ่มเติมเพื่อลดปัญหาการว่างงานและการเลิกจ้าง


ด้านนายสุชาติ จันทรนาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานคณะอนุกรรมการมาตรการแรงงาน COVID-19 กล่าวเสริมว่า ภาคเอกชนขอเสนอมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือและเยียวยา 7 ข้อ ดังนี้
1) ลดเงินสมทบประกันสังคมทั้งฝั่งนายจ้างและลูกจ้างเหลือร้อยละ 1 โดยให้มีผลจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
2) เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย จาก 90 วัน เป็น 150 วัน และขยายระยะเวลาการขอรับสิทธิประโยชน์ จากเดิมวันที่ 31 สิงหาคม 2563 เป็นจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
3) เร่งพิจารณาการอนุมัติให้สามารถปรับการจ้างงานเป็นรายชั่วโมงได้ โดยคิดค่าจ้างในอัตราชั่วโมงละ 40-41 บาทต่อชั่วโมง ระยะเวลาจ้างขั้นต่ำ 4-8 ชั่วโมงต่อวัน
4) ขอให้ภาครัฐเร่งพิจารณาการรับรองการอบรมออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการจัดอบรม ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545
5) ขอปรับอัตราเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 เหลือร้อยละ 0.01
6) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ ดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 ต่อปี
7) จัดสรรกองทุนเยียวยาผู้ประกอบการเพื่อรักษาเสถียรภาพการจ้าง โดยให้เงินเยียวยาแก่ลูกจ้างผ่านนายจ้าง นอกจากนี้ ขอให้สํานักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาบรรจุโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประสิทธิภาพแรงงาน Upskill/Reskill ให้อยู่ภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ (งบ 400,000 ล้านบาท) เพื่อรับรองการเปลี่ยนแปลงในยุค New Normal