เปิดคำพิพากษา ฉบับเต็ม! ศาลฎีกายกฟ้อง ชัยวัฒน์ หมิ่น สมัคร ดอนนาปี

เปิดคำพิพากษา คดีสมัคร ดอนนาปี ฟ้องชัยวัฒน์ หมิ่นประมาท ตั้งแต่ต้นจนวันนี้ที่มีคำสั่งยกฟ้อง

#ชุดพรางนี้ยังได้ไปต่อ
ศาลฎีกายกฟ้องชัยวัฒน์ #คดีหมิ่นสมัคร

วันนี้ที่ศาลจังหวัดตาก นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ภรรยา ทนายความ และทีมพญาเสือ ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีหมิ่นประมาทนายสมัคร ดอนนาปี จากเหตุให้ข่าวสัมภาษณ์สื่อมวลชนในคดีที่นายสมัครถูกนายชัยวัฒน์จับในข้อหาบุกรุกป่า
มิสก๊อก จังหวัดตาก

ภาพจากอีจัน

คดีนี้มีความน่าจับตาอย่างยิ่ง เนื่องจากจุดเริ่มต้นคดี นายชัยวัฒน์ ในตำแหน่งพญาเสือ
(ตำแหน่งในขณะนั้นนั้น) ได้นำกำลังหลายฝ่ายทั้งจากกรมอุทยานฯ รอง รมน.จังหวัด เข้าจับกุมนายสมัคร ดอนนาปี อดีตผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ

ในคดีบุกรุกป่ามิสก๊อก นายสมัคร ปฏิเสธ และต่อสู้คดี ซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่านายสมัครมีความผิด บุกรุกพื้นที่ป่าเนื้อที่ 4 ไร่เศษ ศาลตัดสินให้จำคุก 3 เดือน แต่ให้รอลงอาญา มีโทษปรับ 5,000 บาท

ต่อมาศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

“จำเลยดำรงตำแหน่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ระดับผู้บริหารกรมอุทยานฯ แต่กลับจงใจกระทำความผิดเสียเองไม่คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ป่าไม้ อันเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศพฤติการณ์ณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ศาลอุทธรณ์ตัดสิน ไม่ลงโทษปรับไม่รอการลงโทษจำคุก สรุปคือ คือให้จำคุก 3 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ประเด็นที่ต้องจับตาดูจะไม่ใช่บทสรุปของคดีรุกป่าของนายสมัคร ที่รอฟังการตัดสินของศาลฎีกา แต่เป็นคดีที่สองที่เกิดขึ้นตามมา คือ คดีหมิ่นประมาท!!! หลังถูกจับ นายสมัครได้ฟ้องนายชัยวัฒน์ในคดีหมิ่นประมาท จากเหตุให้ข่าวทำให้เขาเสื่อมเสียจากกรณีถูกจับข้อหารุกป่า คดีหมิ่นประมาทนี้ก็สู้กันถึง 3 ศาล #คำพิพากษาศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย #คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จำคุก แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์กลับคำพิพาษากลับให้นายชัยวัฒน์มีความผิด “การให้ข่าวต่อสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโทรทัศน์ถึงข้อเท็จจริงในขั้นตอนของคดีไม่ใช่หน้าที่ของนายชัยวัฒน์การแถลงข่าวอาจเป็นการชี้นำสังคมและทำให้โจทก์ถูกมองว่าเป็นข้าราชการประพฤติตนไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจกท์มานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นพ้องด้วย บางส่วน พิพากษาแก้เป็น นายชัยวัฒน์มีความผิดหลายกรรมต่างกันให้ ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด จำคุก กระทงละ 6 เดือน แต่การนำสืบมีประโยชน์ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก กระทงละ 4 เดือน รวม 3 กระทง เป็น 12 เดือนและไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลย“ สรุปศาลอุทธรณ์ตัดสินให้จำคุก 12 เดือนโดยไม่รอลงอาญา #ลุ้นศาลสุดท้าย #คำพิพากษาศาลฎีกา จะถอดความสำคัญในคำพิพากษาให้อ่าน เพื่อใครที่ติดตามมหากาพย์คดีศึก 2 บิ๊กจะได้เข้าใจข้อเท็จจริงนะคะ
ภาพจากอีจัน

คดีนี้โจทก์ คือ นายสมัคร ฟ้องจำเลย คือ นายชัยวัฒน์ และพวกอีก 2 คนว่า:

เมื่อปี 2532 นายหมง วัฒน์ศรี ยกที่ดินมีหลักฐานเป็นใบจอง (น.ส.2) เลขที่ 21 ตำบลนาโบสถ์ อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ปัจจุบันเป็นตำบลประดาง อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ให้แก่นายสมัคร เพื่อสร้างบ้านเลขที่ 277 บนที่ดินดังกล่าว

ต่อมาวันที่ 8 กันยายน 2559 เวลากลางวันจำเลยที่ 1 คือ นายชัยวัฒน์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็น หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติ และสัตว์ป่า หรือชุดพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ต่อประชาชน ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์โทรทัศน์ และแถลงข่าวว่าได้ ค้นบ้านพักของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่

เรื่องเริ่มจาก นายชัยวัฒน์ ได้รับเรื่องร้องเรียนว่า มีอดีตข้าราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการเข้ายึดถือครอบครองพื้นที่เพื่อปลูกสร้างบ้านพักตากอากาศ ผิดวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคที่ดินให้แก่ส่วนราชการ และจำเลยที่ 2 ตีพิมพ์ข้อความลงในหนังสือพิมพ์ข่าวสด ส่วนจำเลยที่ 3 ตีพิมพ์ข้อความลง ในหนังสือพิมพ์มติชน ซึ่งเป็นการใส่ความโจทก์ว่ากระทำผิดกฎหมาย อาศัยตำแหน่งหน้าที่ครอบครองที่ดินชาวบ้านที่บริจาคให้ส่วนราชการ เป็นข้าราชการที่ประพฤติไม่ชอบทางธรรมาภิบาลวินัย และกฎหมาย ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

และวันที่ 9 กันยายน 2559 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ใส่ความโจทก์ต่อผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ ซึ่งออกอากาศไปยังประชาชน โดยจำเลยที่ 1 กล่าวในรายการว่า

“นายหมงปรึกษา กอ.รมน.จังหวัด นายหมง รับว่า ไม่ได้ให้ที่ดินหลวง ไม่ได้ให้นายสมัคร นายสมัครไม่รู้จักกัน”

“ตนเองแสดงตนครอบครองที่ดินโดยชัดเจนไปแล้วขอบ้านเลขที่ ไฟฟ้า ประปาทั้งหมดและ แถลงข้อความว่าที่ดินได้จากนายหมง ทั้งๆ ที่แกก็มึนๆ เพราะที่ (น.ส.2) โอนขายไม่ได้”

“เจตนาตอนดำรงตำแหน่งอยู่ 2532 ถึง 2537 ตอนนั้นง่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปบุกรุกเนื้อที่ป่าจะไม่รับรู้อะไรกัน แต่ตอนนี้ชัดเจนมีระบบระเบียบ”

“เขาให้หลวงแต่ไม่ได้โดยตรงของนายสมัคร”

“เรื่องที่นี่ไม่ควรเกิดขึ้นถ้าเราเป็นราชการถ้ามีบุคคลนี้เป็นราชการ เอาประโยชน์ของรัฐเป็นของตน คนพวกนี้ควรอยู่ในสังคมไหม”

ข้อความดังกล่าวมีความหมายว่า โจทก์เป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย อาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการครอบครองที่ดินที่ชาวบ้านบริจาค เป็นข้าราชการที่ประพฤติไม่ดี และเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2559 เวลากลางวันจำเลยที่ 1 ใส่ความโจทก์ต่อผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ว่า

“ท่านเป็น ผอ.ไฟป่า มาก่อนการดำเนินชีวิตมาถูกให้ออกจากราชการไล่ออกจากราชการ” ข้อความนี้ไม่ถูกต้องเพราะโจทก์ไม่เคยถูกไล่ออกจากราชการทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง

ต่อมาวันที่ 14 กันยายน 2559 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ใส่ความโจทก์ต่อผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ในรายการถามตรงกับจอมขวัญ สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ซึ่งออกอากาศเผยแพร่ข่าวสารไปยังประชาชน จำเลยที่ 1 ใส่ความโจทก์โดยตอบคำถามนางสาวจอมขวัญที่ถามว่า โจทย์ผิดอะไรว่า

“การให้เหมือนละคร” “การให้ต่างๆ มาแทบจะย่อยแต่ละเทปต่างกัน ถ้าบอกว่าให้ อีกส่วนหนึ่งโดยไม่ใช่ที่ไฟป่า แสดงว่าเป็นพื้นที่ป่า เลยเป็นบุกรุกป่า” “แฉคนอื่นได้ต่อ แต่ตัวท่านเองยังมีมลทินอยู่”

เมื่อนางสาวจอมขวัญถามจำเลยที่ 1 ว่ามั่นใจหรือไม่ว่าโจทก์กระทำผิด จำเลยที่ 1 ตอบว่า “ให้การเท็จทั้งหมด โกหกทุกเรื่อง สุดทางติดคุก”

ข้อความดังกล่าวหมายความว่า โจทก์กระทำผิดต่อกฎหมายอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการครอบครอง ที่ดินที่มีผู้บริจาคให้ส่วนราชการ บุกรุกป่า เป็นข้าราชการมีมลทิน ประพฤติไม่ดี ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เหตุเกิดที่ตำบลประดาง อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,91,326,328

ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 3 เสียจากสารบบความ

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว…พิพากษายกฟ้อง!!!

โจทก์อุทธรณ์

ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จ จริง

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า…

จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 3 กระทง จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 เดือน

นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

#จำเลยที่1 ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติ

โดยคู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 รับราชการตำแหน่งนักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษส่วนอนุรักษ์และป้องกันทรัพยากร สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 ทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า ตามสำเนาคำสั่งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

วันที่ 8 กันยายน 2559 นายหมง วัฒน์ศรี เจ้าของใบจอง (น.ส.2) เลขที่ 21 ตำบลนาโบสถ์ หมู่ที่ 3 อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ตามสำเนาใบจองเอกสารหมาย จ.3 ได้มีหนังสือ ร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตากว่า…

ตน (นายหมง) ได้ยกที่ดินตามใบจองดังกล่าวให้กรมป่าไม้ เพื่อใช้ตั้งเป็นสถานีควบคุมไฟป่า แต่โจทก์นำพื้นที่บางส่วนไปปลูกสร้างบ้าน ทำสวน จึงขอให้ดำเนินการกับข้าราชการ ที่ประพฤติมิชอบ

ในวันเดียวกันเวลา 11:00 น. จำเลยที่ 1 พร้อมคณะเจ้าหน้าที่โดยมี พลตรีปฏิญญา ลีลาศเจริญ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตาก หัวหน้าชุดตรวจสอบ และนายหมง เป็นผู้นำชี้ ตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุตามใบจองของนายหมง

พื้นที่บริเวณดังกล่าวเรียกว่า เขามิสก๊อก ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบล ประดาง อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก พบว่าสภาพพื้นที่เป็นภูเขามีความลาดชันและมีบ้านพักปลูกอยู่ 1 หลัง มีเพิงพักขนาดเล็ก 1 หลัง มีชื่อโจทก์เป็นผู้ขอมิเตอร์น้ำและไฟฟ้า และสำเนาใบแจ้งค่าน้ำประปาค่าไฟฟ้า

หลังจากจำเลยที่ 1 และคณะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบ้านของโจทก์แล้ว
จำเลยที่ 1 ให้ข่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า…

โจทก์อาศัยตำแหน่งหน้าที่ทางราชการเข้ายึดถือครอบครองพื้นที่เพื่อปลูกสร้างบ้านพักตาก
อากาศผิดวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคที่ดิน ในหน้าหนังสือพิมพ์ข่าวสดและมติชน

ภาพจากอีจัน
จากนั้นในวันที่ 9 กันยายน 2559 จำเลยที่ 1 ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ในรายการเจาะข่าวลึกทั่วไทย วันที่ 12 กันยายน 2559 ให้ข่าวต่อผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ และวันที่ 14 กันยายน 2559 ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐ ในรายการถามตรงกับจอมขวัญ ตามข้อความและวีซีดีเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.12 สำหรับข้อหาที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2559 จำเลยที่ 1 ให้ข่าวต่อผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ขาดอายุความและพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่ฎีกาความผิดข้อหาดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่หนึ่งกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ในการให้ข่าวต่อสื่อมวลชนในวันที่ 8 วันที่ 9 และวันที่ 14 กันยายน 2559 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่? #คำให้การโจทก์ โจทก์ คือ นายสมัคร อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความได้ว่า โจทก์เป็นข้าราชการบำนาญเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2558 ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสมัคร เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 277 เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ ตั้งอยู่บนที่ดินมีหลักฐานใบจอง (น.ส.2) เลขที่ 21 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2559 จำเลยที่ 1 สั่งให้เจ้าหน้าที่ควบคุมไฟป่านำตัวนายหมง ไปยังศูนย์ฝึกอบรมป่าไม้แล้วจำเลยที่ 1 กับพวกชักจูงให้นายหมง ลงลายมือชื่อ ในหนังสือร้องเรียนกล่าวหาโจทก์ว่า นายหมงยกที่ดินตามใบจอง (น.ส.2) เลขที่ 21 ให้สถานีควบคุมไฟป่า แต่โจทก์กลับนำที่ดินบางส่วน ไปสร้างบ้านพักอาศัยส่วนตัว และให้นายหมงไปนำชี้ตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยยืนยันว่าไม่ได้ยกพื้นที่ให้ปลูกสร้างบ้าน หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ให้นายหมงไปพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรวังเจ้า เพื่อแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ แต่นายหมงไม่ยอมแจ้งความและให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนว่าได้ยกที่ดินตามใบจอง (น.ส.2) เลขที่ 21 บางส่วนให้โจทก์สร้างบ้านพัก จากนั้นจำเลยที่ 1 ให้ข่าวต่อผู้สื่อข่าวว่าโจทก์ปลูกสร้างบ้านบุกรุกป่าและฮุบที่ดินของทางราชการตามสำเนาข่าว ในหน้าหนังสือพิมพ์ข่าวสดและมติชน ซึ่งไม่เป็นความจริง ยิ่งกว่านั้นในวันที่ 9 กันยายน 2559 จำเลยที่หนึ่งให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ในรายการเจาะข่าวลึกทั่วไทยวันที่ 12 กันยายน 2559 ให้ข่าวต่อผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ และวันที่ 14 กันยายน 2559 ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐ ในรายการถามตรงกับจอมขวัญ โดยจำเลยที่ 1 ให้ข่าวและให้สัมภาษณ์ในลักษณะยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์ปลูกสร้างบ้านบุกรุกป่าและที่ดิน ของทางราชการซึ่งไม่เป็นความจริง อีกทั้งนายสว่างวงษ์ เจนอักษร หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ตก.24 (วังเจ้า) ไปตรวจสอบบ้านที่โจทก์ปลูกสร้างแล้ว นายสว่างวงษ์ มีหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 (ตาก) ว่า… คณะเจ้าหน้าที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดตาก ตรวจสอบที่ดินบริเวณบ้านพักของโจทก์ พบว่าอยู่ในพื้นที่ใบจอง (น.ส.2) เลขที่ 21 โดยพื้นที่ที่ตรวจสอบไม่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและไม่เป็นป่าตามกฏหมายตามสำเนาบันทึกข้อความเอกสารหมาย จ.17 การที่จำเลยที่ 1 ให้ข่าวและให้สัมภาษณ์ต่อ ผู้สื่อข่าวทั้งทางหนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ว่าโจทก์ปลูกสร้างบ้านบุกรุกป่า และฮุบที่ดินของทางราชการซึ่งไม่เป็นความจริง!!! เป็นการใส่ความโจทก์ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง!!! โจทก์มี…นายหมงเป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นผู้จับจองครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ตั้งอยู่บ้านประดาง หมู่ที่ 3 ตำบลประดาง อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก เดิมที่ดินดังกล่าวพยานเคยให้กรมประชาสัมพันธ์ใช้ทำประโยชน์ แต่ต่อมากรมประชาสัมพันธ์เลิกใช้และคืนที่ดินให้แก่พยานแล้ว โจทก์มาทำงานที่บริเวณดังกล่าวจึงขอใช้ที่ดินจากพยานทำเป็นสถานีควบคุมไฟป่าและสร้าง บ้านพักอาศัยอยู่ที่บริเวณเนินเขาตรงข้ามกับสถานีควบคุมไฟป่า ต่อมาพยาน (นายหมง) ไปขอจับจองที่ดินต่อทางราชการ และได้รับใบจอง จากนั้นในวันที่ 8 กันยายน 2559 มีเจ้าหน้าที่ 2 คนแต่งกายคล้ายทหาร ขับรถกระบะ มารับพยาน (นายหมง) ที่บ้าน ไปสอบถามเกี่ยวกับที่ดินตามใบจอง และบังคับให้พยานลงลายมือชื่อในเอกสารต่างๆ ซึ่งพยานยืนยันว่าได้ยกที่ดินตามใบจองบางส่วนให้แก่โจทก์จริง และไม่เคยไปร้องเรียนกล่าวหาโจทก์ต่อหน่วยราชการใด ส่วนจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 1 อ้างตนเองเป็นพยานกับมีพลตรีปฏิญญา และนายสว่างวงษ์ เป็นพยานเบิกความสอดคล้องกันว่า ก่อนเกิดเหตุประมาณหนึ่งสัปดาห์ หน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศประชุมเรื่องผู้มีอิทธิพลและข้าราชการที่กระทำผิด กฎหมายป่าไม้รวม 3 เรื่องโดยมีโจทก์ถูกร้องเรียนด้วยเรื่องหนึ่ง และได้ข้อสรุปว่า คณะเจ้าหน้าที่จะไปตรวจสอบสถานที่ที่โจทก์ถูกร้องเรียน ต่อมาในวันที่ 8 กันยายน 2559 เวลา 09:00 น. จำเลยที่ 1 พร้อมคณะเจ้าหน้าที่อันประกอบด้วย พลตรีปฏิญญา เป็นประธานร่วมประชุมที่ศูนย์ฝึกอบรมป่าไม้จังหวัดตาก โดยเรียกนายหมง เจ้าของใบจองมาสอบถาม นายหมงแจ้งว่า ได้ยกที่ดินตามใบจองให้กรมป่าไม้ตั้งสถานีควบคุมไฟป่าจากนั้นคณะเจ้าหน้าที่ ร่วมกันไปตรวจสอบพื้นที่โดยมีนายหมง เป็นผู้นำชี้ปรากฏว่า สภาพภูมิประเทศบริเวณบ้านเลขที่ 277 ของโจทก์มีสภาพเป็นป่าไม้ พื้นที่ลาดชัน เอียงเกิน 35 องศา ชาวบ้านเรียกว่าเขามิสก๊อก และเจ้าหน้าที่ของสถานีควบคุมไฟป่าที่นำชี้พื้นที่ของสถานีทั้งหมด ไม่รวมถึงบ้านบ้านเลขที่ 277 ของโจทก์แต่นายหมูยืนยันว่าบ้านเลขที่ 277 ของโจทก์อยู่ในพื้นที่ที่ยกให้กรมป่าไม้ ใช้ประโยชน์แล้ว ทั้งจากการตรวจสอบมีชื่อโจทก์เป็นผู้ขอมิเตอร์น้ำและขอใช้ไฟฟ้า ทางคณะเจ้าหน้าที่จึงมีมติให้นายหมง ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ที่สถานีตำรวจภูธรวังเจ้าเพื่อดำเนินคดีแก่โจทก์ ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ไปให้ข่าวตอบผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ และให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ล้วนเป็นความจริงที่ได้จากการตรวจสอบกับ คณะเจ้าหน้าที่ทั้งสิ้น หาได้มีเจตนาใส่ความกลั่นแกล้งโจทก์โดยไม่เป็นความจริงไม่ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 มีนายชาญชัย เรืองศิลป์ เจ้าพนักงานป่าไม้ห้าเบิกความเป็นพยานให้ ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าเมื่อปี 2543 พยานเคยกล่าวหานางเสาวณีย์ ปิยะวี ต่อพนักงาน สอบสวนสถานีตำรวจภูธรวังเจ้าว่า นางเสาวณีย์ปลูกสร้างบ้านบุกรุกป่า และมี พันตำรวจตรีจักรกฤษณ์ บุรารักษ์ เบิกความเป็นพยานว่า พยานเคยเป็นพนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่นางเสาวณีย์ ในความผิดตามที่นายชาญชัย กล่าวหา โดยพยานไปตรวจสอบบ้านเลขที่ 277 ของนางเสาวณีย์ พบว่าเป็นการปลูกสร้างบ้านบุกรุกป่าจริง ชั้นสอบสวนพยานจึงมีความเห็นสั่งฟ้องนางเสาวณีย์ในข้อหาร่วมกันสร้าง แผ้วถางหรือ กระทำด้วยประการใดใดอันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2560 เจ้าพนักงานป่าไม้เป็นพยานไปนำชี้บ้านเลขที่ 277 ที่พยานเคยดำเนินคดีแก่นางเสาวณีย์พยานชี้ยืนยันว่า บ้านเลขที่ 277 ของโจทก์ เป็นบ้านหลังเดียวกันกับที่พยานเคยดำเนินคดี แก่นางเสาวณีย์ เห็นว่า…โจทก์บรรยายฟ้องว่า บ้านเลขที่ 277 หมู่ที่ 3 ตำบลประดาง อำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก เป็นบ้านของโจทก์ (สมัคร) โดยนายหมงยกที่ดินบางส่วน ให้แก่โจทก์ปลูกสร้างบ้าน แต่บ้านเลขที่ 277 ของโจทก์ดังกล่าวได้ความจาก พันตำรวจตรีจักรกฤษณ์ ให้การว่า เป็นบ้านหลังเดียวกันกับที่พยานเคยดำเนินคดีแก่นางเสาวณีย์ในข้อหาบุกรุกป่า โดยจำเลยที่ 1 เบิกความยืนยันว่า คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนางเสาวณีย์ให้จำคุก 4 เดือนและศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาลงโทษนางเสาวณีย์ปรับ 20,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ซึ่งคดีถึงที่สุดไปแล้ว เมื่อจำเลยที่1 ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจพญาเสือร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ โดยมีพลตรีปฏิญญา รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตากเป็นหัวหน้าชุดได้ทำการตรวจสอบบ้านเลขที่ 277 ของโจทก์ตามที่มีผู้ร้องเรียน เพื่อปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลาย ทรัพยากรป่าไม้ตามสำเนาคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 64 และ 66 จำเลยที่ 1 มิได้กระทำโดยลำพังแต่เป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายร่วมกันตรวจ สอบอันถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานคนหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 และคณะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วมีความเห็นว่า บ้านเลขที่ 277 ไม่มี เอกสารสิทธิมาแสดง ทั้งตั้งอยู่บริเวณเนินเขามิสก๊อกที่มีความลาดชันเอียงมากกว่า 35 องศา และมีสภาพเป็นป่าเขา โจทก์ (นายสมัคร) จึงไม่สามารถก่อสร้างบ้านหรือที่พักอาศัยได้ ประกอบกับในขณะจำเลยที่ 1 และคณะเจ้าหน้าที่ร่วมกันตรวจสอบพื้นที่ ที่เกิดเหตุ มีนายหมงยืนยันข้อเท็จจริงต่อคณะเจ้าหน้าที่ว่า ไม่ได้ยกที่ดินตามใบจอง ให้โจทก์ปลูกสร้าง บ้านดังกล่าวแต่อย่างใด จึงทำให้จำเลยที่ 1 เชื่อมั่นว่าโจทก์ปลูกสร้างบ้านดังกล่าว บุกรุกป่าและครอบครองที่ดินของทางราชการนั้นมิชอบ

ดังนั้นในวันดังกล่าวการที่จำเลยที่ 1 ให้ข่าวต่อผู้สื่อข่าว ในลักษณะยืนยันข้อเท็จจริงว่า โจทก์ปลูกสร้างบ้านบุกรุกป่าและครอบครองที่ดินของทางราชการโดยมิชอบจึงเป็นการกระทำ โดยสุจริต
ให้ข่าวไปตามข้อมูลที่จำเลยที่หนึ่งตรวจสอบ หาได้มีการเจตนากลั่นแกล้ง ใส่ความโจทก์แต่อย่างใดไม่ การให้ข่าวและให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์และสถานีโทรทัศน์ต่างๆทั้ง 3 ครั้ง ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติตามหน้าที่โดยสุจริตจำเลยที่ 1 (นายชัยวัฒน์) จึงไม่มีความผิด ฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (2)
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยการให้ข่าวต่อสื่อมวลชนในวันที่ 8 9 และ 14 กันยายน 2559 และพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 มานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น


พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้อง ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ในการให้ข่าวต่อสื่อมวลชนในวันที่ 8, 9 และ 14 กันยายน 2559 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6



หลังทราบคำพิพากษา ญาติๆของนายชัยวัฒน์ถึงกับหลั่งน้ำตากอดกันด้วยความดีใจ รวมถึงทีมพญาเสือด้วย

ทั้งนี้นายชัยวัฒน์ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “เมื่อศาลเมตตาก็ แปลว่า ชีวิตการทำงานผมได้ไปต่อ ที่ผมจงใจสวมชุดพรางมาฟังคำพิพากษาวันนี้ เพราะผมทำใจไว้ว่า อาจเป็นการสวม ครั้งสุดท้ายก็ได้ แต่เมื่อผลคำพิพากษาออกมาเป็นยกฟ้อง ผมรู้แล้วว่า ผมยังต้องทำงานต่อไป
และน้องๆที่เดินตามเส้นทางนี้ก็จะได้เรียนและรู้ว่า เส้นทางนี้ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง”

ในที่สุด คดีหมิ่นประมาทที่สู้กันมายาวนานถึง 3 ศาล ก็สิ้นสุดลงในวันนี้ และที่สำคัญ นายชัยวัฒน์ ในชุดลายพราง เขา…ยังได้ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าต่อไป

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศาลฎีกายกฟ้อง ชัยวัฒน์ คดีหมิ่นประมาท สมัคร ดอนนาปี