ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าใจยิ่งนักสำหรับครอบครัว “เค้ามูลคดี” ที่ได้เสีย “แม่ทุม ปทุมวดี เค้ามูลคดี” ภรรยาคู่ชีวิตของ “พ่อรอง เค้ามูลคดี” ได้เสียชีวิตด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษ มีภาวะจำอะไรไม่ได้ และเป็นโรค ALS โดยเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดช่วงเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมา วันนี้ (7 กันยายน 2563) บรรยากาศบริเวณ ศาลา 2 วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน เป็นไปอย่างน่าเศร้าโศก และเต็มไปด้วยคนบันเทิงรวมถึงแขกที่มาร่วมอาลัยอีกมากมาย ก่อนที่จะเริ่มพิธีรดน้ำศพนั้น “ยุ้ย ปัทมวรรณ” และ “พ่อรอง เค้ามูลคดี” ก็ได้ออกมาเผยถึงช่วงเวลาสุดท้ายที่ได้บอกลาแม่และภรรยาผู้เป็นที่รักกับพี่น้องสื่อมวลชน
ยุ้ย : “กำหนดการวันนี้จะรดน้ำศพตอน 16.00 น. ค่ะ แล้วก็สวดตอน 18.00 น. แต่วันอื่นจะเป็นเวลา 18.30 น. ค่ะ”
พ่อรอง : “แม่เขาไปแบบสบายๆ หลับสบาย ในช่วงเวลา 02.25 น. ถามว่าคุณแม่ไปมีสัญญาณอะไรไหม เขารู้กันหมดแล้ว แต่ปิดไม่ให้พ่อรู้คนเดียว
ยุ้ย : “คุณพ่อจะไม่ทราบค่ะ คือช่วงก่อนหน้านี้ประมาณ 5-6 วัน คุณแม่เริ่มทรุดเยอะมาก เข้าไปผ่าตัด ไปโน่นนี่นั่นหลายอย่าง ทางโรงพยาบาลก็ได้คุยกับเราว่าให้เราเตรียมพร้อมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรือเอกสารอะไรทุกอย่าง แต่ไม่บอกคุณพ่อ ขนาดไม่บอก อยู่ดีๆ ก็วูบ พ่อเพิ่งจะรู้วันนี้ คุณพ่อก็รู้สึกว่าทำไมพอคุณแม่ไปปุ๊บ ทุกอย่างพร้อมหมด เราก็รู้สึกว่าเราต้องเก็บไว้ เพราะเราก็ต้องห่วงคุณพ่อด้วย คือตอนแรกตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะไม่บอก แค่บอกพ่อว่าเหมือนตรวจเจอนิ่ว แล้วเอาลงไปผ่านิ่ว ไม่บอกสัญญาณอะไรมากกว่านี้”
มีโอกาสได้เยี่ยมแม่ล่าสุดวันไหน
พ่อรอง : “ก่อนพ่อเข้าโรงพยาบาล”
ยุ้ย : “ก่อนที่คุณพ่อจะเข้าโรงพยาบาลคุณพ่อมีคิวถ่ายละครติดกันประมาณ 3 วัน ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณแม่ทรุดพอดี และคุณแม่ก็กลับมาดีขึ้นนิดหนึ่งก่อนวันที่คุณพ่อจะเข้าโรงพยาบาลวันเดียว แล้วในวันที่คุณพ่อวูบและเราพาคุณพ่อไปส่งโรงพยาบาลกำลังเข้าห้องฉุกเฉิน พี่ชายก็โทรมาแจ้งกับยุ้ยว่า คุณแม่ทรุดอีกแล้วนะ คือมันเป็นจังหวะที่คุณพ่อเองก็อยู่ห้องฉุกเฉิน วันนั้นมันค่อนข้างหนักมากสำหรับเราทุกคน คือ 2 คนเราไม่ได้จริงๆ ค่ะ วินาทีนั้นเราจึงตัดสินใจว่าขอให้คุณพ่อแข็งแรงก่อน เพราะเราค่อนข้างทำความเข้าใจกับโรคของคุณแม่มาสักระยะแล้ว แต่หลังจากที่คุณพ่อได้ออกจากโรงพยาบาล คุณแม่ก็เหมือนจะมีอาการดีขึ้น หลังจากที่ปลุกไม่ตื่นมาหลายวัน ก็ลืมตาได้ จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นคุณแม่ก็ไม่อยู่แล้ว"
พ่อรอง : “เราไม่เป็นอะไรหรอก วันนั้นพักผ่อนไม่พอ คุณหมอให้พักผ่อนเยอะๆ หมอจะนัดไปตรวจหัวใจอย่างเต็มที่เลยจะได้รู้ว่าเป็นอะไร แต่วันนั้นคุณหมอที่ตรวจเป็นหมอที่ผ่าตัดหัวใจคุณสุประวัติ ปัทมสูตร แล้วเป็นเจ้าของไข้พ่อพอดี เอาเครื่องมาตรวจบอกว่าเราแข็งแรงดี แต่ก็อยากให้ไปตรวจละเอียดอีกครั้งที่รพ.ภูมิพล”
ให้ความร่วมมือกับลูกในการดูแลสุขภาพตัวเอง
พ่อรอง : “บางทีพ่อก็เจ้าอารมณ์เหมือนกัน เราก็รู้และเข้าใจ บางทีเขาก็ไม่เข้าใจเรา บางทีเราก็ไม่ค่อยพูด พ่อไม่ค่อยพูดอะไรอยู่แล้ว บางวันเราก็ไม่ออกจากห้อง”
คนชื่นชมคู่พ่อรองแม่ทุม เป็นคู่รักตัวอย่าง
พ่อรอง : “ดีใจที่เขาได้ทำความดีจนถึงวินาทีสุดท้าย ที่ทุกคนชื่นชมว่าเป็นคู่รักตัวอย่าง มันไม่ใช่จากพ่อเลย จากแม่ทุมทั้งนั้น”
มีสิ่งไหนที่อยากทำเพื่อแม่ทุมอีก
พ่อรอง : “มันไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ถ้าอยากทำเหรอ อยากให้เขาฟื้น มันทำไม่ได้แล้ว ปาฏิหาริย์ไม่มีแล้ว ตอนนี้ก็ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ก็พยายามนึกกันอยู่กับลูกว่าแม่ชอบอะไร ก็พยายามจะทำให้เขา”
คุณแม่ยังมีห่วงอะไรบ้างไหม
ยุ้ย : “พูดยากมาก เพราะตลอดเวลาคุณแม่เป็นห่วงทุกคนมากกว่าตัวเองมาโดยตลอด แต่เราไม่ได้สื่อสารกับคุณแม่เลยเพราะคุณแม่ไม่พูดอะไรกับเรามาสักระยะนึงแล้ว ซึ่งเราก็ไม่รู้เลยจริงๆว่าคุณแม่คิดอะไรอยู่ ก็เลยต้องใช้ระยะเวลาช่วงสุดท้ายที่หมอบอกให้เราอยู่กับคุณแม่ก่อนที่ทุกอย่างมันจะเป็นศูนย์ ให้ไปพูดกับคุณแม่ เราบอกไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว(เสียงสั่น)”
“แม่เป็นต้นแบบในความสู้ แค่เห็นตรงนี้ที่เขาสู้มาจะ 8 ปีอยู่แล้ว จริงๆโรคนี้อยู่ได้ 5 ปี สูงสุด เขาสู้มาตลอด วันนี้แม่สู้ถึงที่สุดแล้ว เราแข็งแรงไม่ได้ครึ่งของแม่เลย”
จะมีการขอพระราชทานเพลิงไหม
พ่อรอง : “ถ้ามีโอกาสเราก็อยากทำ แต่ตอนนี้เราจะมีเวลาหรือเปล่า ใครๆก็อยากได้เพราะเป็นสูงสุดเป็นเกียรติยศของวงศ์ตระกูล ซึ่งจะนำอัฐิไปลอยอังคารที่สัตหีบ เพราะแม่ชอบทะเลมากและตรงนั้นลูกชายคนโตที่เสียไปแล้วก็อยู่ตรงนั้น และแม่ของพ่อก็อยู่ตรงนั้น พี่ชายของพ่อก็อยู่ตรงนั้น ก็ไปอยู่ด้วยกันตรงนั้นแหละ”