เปิดคำรับสารภาพ “บรรยิน” รับ ร่วมอำพรางศพพี่ชายผู้พิพากษาจริง!

พ.ต.ท.บรรยิน กลับคำรับสารภาพ คดี “อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา” รับร่วมอำพรางศพจริง

วันนี้ (14 ก.ย. 63) ที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลนัดสืบพยานคดี “อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา” โดยผู้พิพากษา ออกนั่งพิจารณาคดีนี้เวลา 09.00 น. นัดพร้อมเพื่อตรวจสอบพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดพิจารณาวันนี้

ภาพจากอีจัน
ตามที่ศาลกำหนดวันนัดสืบพยานที่โจทก์ และจำเลยทั้ง 6 (พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 56 ปี อดีต รมช.พาณิชย์ จำเลยที่ 1, นายมานัส ทับทิม อายุ 67 ปี จำเลยที่ 2 , นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 48 ปี จำเลยที่ 3, นายชาติชาย เมณฑ์กูล อายุ 31 ปี จำเลยที่ 4, นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข อายุ 33 ปี จำเลยที่ 5 ,ด.ต.ธงชัย หรือ สจ.อ๊อด วจีสัจจะ อายุ 63 ปี จำเลยที่ 6 ) อ้างตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 มิถุนายน 2563 ไปแล้ว นั้น เนื่องจากจำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 4 และที่ 5 ยื่นคำให้การใหม่ โดยจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิม ที่ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เป็นให้การรับสารภาพ ตามคำให้การฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2563 ว่าจำเลยที่ 1 ได้ก่อเหตุในคดีนี้จริง โดยร่วมกับจำเลยที่ 3 จัดเตรียมอุปกรณ์ เช่น น้ำมัน ยางรถยนต์ สังกะสี อิฐบล็อก เพื่อไปใช้เผาทำลายศพพี่ชายผู้พิพากษา โดยนำอุปกรณ์ดังกล่าว ไปไว้ยังจุดเกิดเหตุที่บริเวณเขาใบไม้ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563
ภาพจากอีจัน
การเตรียมการดังกล่าวต้องการจับตัวพี่ชายผู้พิพากษา เพื่อบังคับ ขู่เข็ญ และต่อรองคดีกับผู้พิพากษา โจทก์ร่วมในคดีนี้ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำ ที่ อ.305/2561 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ จำเลยที่ 1 มีเจตนาจะนำตัวพี่ชายผู้พิพากษา ไปกักขังไว้ที่บ้านพักที่ใช้สำหรับหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอตาคลี และหากหลังจากจับตัวพี่ชายผู้พิพากษา มาขังไว้แล้ว การต่อรอง และบังคับขู่เข็ญกับผู้พิพากษา ไม่สำเร็จผล โดยผู้พิพากษา ไม่ทำตามข้อเรียกร้อง จำเลยที่ 1 อาจต้องฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา และเผาทำลายศพ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 จำเลยที่ 1 กับพวก ได้จับกุมตัวพี่ชายผู้พิพากษา ขึ้นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์คันเกิดเหตุ เพื่อนำตัวไปกักขัง และต่อรองกับผู้พิพากษา โดยจะนำตัวพี่ชายผู้พิพากษา ไปบ้านพักที่อำเภอตาคลี ระหว่างเดินทางพี่ผู้พิพากษา ดิ้นรนขัดขืนการควบคุมตัว ขณะนั่งอยู่ที่เบาะหลัง กับจำเลยที่ 4 และที่ 5 จำเลยที่ 3 ซึ่งนั่งอยู่เบาะหน้าด้านซ้าย ได้หันไปชกต่อยพี่ชายผู้พิพากษา เพื่อให้หยุดการดิ้นรนขัดขืน เป็นเหตุให้พี่ชายผู้พิพากษา ถึงแก่ความตาย ทั้งที่ การต่อรองกับผู้พิพากษา ยังไม่บรรลุผลตามข้อเรียกร้อง จำเลยที่ 1 รับว่า ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 ติดตามตัวพี่ชายผู้พิพากษา และ ผู้พิพากษา ในช่วงวันที่ 7, 8, 12, 13, 14, 15, 16, 17 และ 20 มกราคม 2563 จริง และรับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 คุมตัวพี่ชายผู้พิพากษา จากหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยจำเลยที่ 1 แต่งกายชุดตำรวจ และเป็นผู้ขับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์คันเกิดเหตุจริง โดยมีจำเลยที่ 3 นั่งเบาะหน้าด้านซ้ายข้างคนขับ ส่วนจำเลยที่ 4 และที่ 5 นั่งเบาะหลังรถคันดังกล่าว เพื่อควบคุมตัวพี่ชายผู้พิพากษา ระหว่างควบคุมตัวพี่ชายผู้พิพากษา อยู่บนรถ และขณะกำลังขับรถมีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามายังโทรศัพท์ของพี่ชายผู้พิพากษา รวม 3 ครั้ง จำเลยที่ 3 เป็นผู้พูดโต้ตอบกับบุคคลปลายสาย เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถถึงทางแยกจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเลยจากแยกบางบัวทอง ไปแล้ว ได้จอดรถลงไปปัสสาวะ มีจำเลยที่ 3 ตามไปด้วย ระหว่างอยู่นอกรถ มีเสียงโทรศัพท์ของพี่ชายผู้พิพากษา ดังขึ้น จำเลยที่ 3 จึงรับโทรศัพท์ และพูดคุยกับผู้ที่โทรศัพท์เข้ามา ซึ่งทางผู้พิพากษา ยอมที่จะทำการตามที่พูดในคลิปเสียง แต่ขอคุยกับพี่ชายก่อน จากนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ขึ้นมาบนรถยนต์คันดังกล่าว เพื่อให้พี่ชายผู้พิพากษา พูดคุยกับบุคคลที่โทรศัพท์เข้ามา แต่ปรากฏว่า พี่ชายผู้พิพากษา ไม่สามารถพูดสายได้ เข้าใจว่าพี่ชายผู้พิพากษา ได้เสียชีวิตไปแล้ว แล้วจำเลยที่ 3 ได้ปิดโทรศัพท์ของพี่ชายผู้พิพากษา และไม่ได้ใช้โทรศัพท์ติดต่อกับใครอีกเลย “จำเลยที่ 1 ขอให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 นำศพพี่ชายผู้พิพากษา ไปทำการเผาเพื่อทำลายที่บริเวณเขาใบไม้ อำเภอตาคลี ตามที่โจทก์ฟ้องจริง และขอให้การรับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 ขับรถนำเถ้ากระดูก สังกะสี เศษยางรถยนต์ อิฐบล็อก ไปทิ้งตามจุดต่าง ๆ คือ ริมถนนข้างทางใกล้หมู่บ้านนิคมเขาบ่อแก้ว บริเวณใกล้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ของหมู่บ้านกลางแดด อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จริง”