กอร.ฉ. แจง วันที่ในราชกิจจาฯ ถูกบิดเบือน

กอร.ฉ. ชี้แจง วันที่ในราชกิจจานุเบกษา ฉบับที่ 6 ถูกบิดเบือนข้อเท็จจริง ใครบิดเบือนเจอโทษทั้งจำทั้งปรับ


วันนี้ (18 ต.ค.63) กองอำนวยการร่วมแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง นำโดย พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร.พร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร ณ บริเวณห้องประชุมชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยได้ถ่ายทอดสดผ่าน เพจสถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ภาพจากอีจัน
ด้าน พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ได้กล่าวว่า วันที่ 17 ตุลาคม 2563 ซึ่งปรากฏว่ามีการบิดเบือนในเรื่องปี พ.ศ. ที่ประกาศเป็นปี 2562 ซึ่งตามภาพนี้เป็นเท็จ โดยผู้ที่ทำมีเจตนาที่จะบิดเบือน นอกจากนั้นก็มีตัวหนังสือสีแดงเขียนว่าประกาศนี้เป็นโมฆะโดยผู้กระทำมีเจตนาที่จะให้ผู้อ่านหรือผู้ที่ได้รับข้อมูลเข้าใจว่าประกาศดังกล่าวเป็นโมฆะ ซึ่งเป็นข้อมูลที่บิดเบือนและเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดการเข้าใจผิด ซึ่งในข้อเท็จจริงดังกล่าว ประกาศฉบับนี้มีการลงวันเดือนปีอย่างถูกต้อง ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งการกระทำของบุคคลดังกล่าวเป็นการฝ่าผืนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงฉบับที่ 4 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไปเกิน 40,000 บาท นอกจากนั้น จะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (3) มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไปเกิน 100,000 บาท
ภาพจากอีจัน
พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า ขอความร่วมมือประชาชนอย่าส่งต่อข้อมูลดังกล่าว เพราะว่าการส่งต่อข้อมูลที่เป็นความผิดก็อาจจะรับโทษด้วยเช่นกัน ส่วนประเด็นต่อมาที่ กอร.ฉ. จะชี้แจง มีการส่งต่อภาพและข้อความที่บิดเบือน โดยปรากฏภาพตำรวจ ก้มลงกับพื้นถนนและภาพติดแฮชแท็ก "ภาษีกู" แล้วก็ประกอบข้อความว่า "ตำรวจจอดรถแล้วเอากระป๋องสีพ่นกลางถนนแยกลาดพร้าว อย่าเล่นสกปรกมากนะ" คือ มีเจตนาให้คนที่รับข้อมูลเห็นว่าตำรวจเข้าไปพ่นเอง ทั้งที่จริงแล้วหลังจากที่มีการชุมนุมที่ห้าแยกลาดพร้าวเมื่อคืน (17 ต.ค.63) เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการตรวจสอบและเคลียร์พื้นที่ จนไปพบข้อความที่ไม่เหมาะสมบนพื้นถนนจึงก้มถ่ายภาพเพื่อรายงานผู้บังคับบัญชา แต่ผู้ที่บิดเบือนกลับเจตนา ที่จะให้เข้าใจว่าเป็นตำรวจไปพ่นสีเสียเอง และจะใส่ร้ายผู้ชุมนุม ซึ่งจริงๆ แล้วการกระทำดังกล่าวก็เป็นการบิดเบือนเช่นกัน และมีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (3) และเป็นการฝ่าฝืนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน มีอัตราเช่นเดียวกับที่ได้ชี้แจงไปแล้วเช่นกัน