กรมอุทยาน ฯ แจ้งจับ ขบวนการล้มคดี รื้อกระท่อมริมธาร อุทยานแห่งชาติเขาแหลม

กรมอุทยาน ฯ ส่งเจ้าหน้าที่ แจ้งจับ ขบวนการล้มคดี รื้อกระท่อมริมธาร รุก อุทยานแห่งชาติเขาแหลม

วันนี้(27ต.ค. 63) นายนิพนธ์ จำนงสิรศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เปิดเผยว่า ตามนโยบาย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้ดำเนินการเด็ดขาดกับนายทุนผู้บุกรุกป่า และให้ยึดคืนพื้นที่มาจากนายทุน นำมาฟื้นฟูป่า ให้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร สำหรับคนไทยทุกคน

กรมอุทยาน ฯ แจ้งจับ ขบวนการล้มคดี รื้อกระท่อมริมธาร อุทยานแห่งชาติเขาแหลม
กรมอุทยาน ฯ แจ้งจับ ขบวนการล้มคดี รื้อกระท่อมริมธาร อุทยานแห่งชาติเขาแหลม
โดยตนเองและนายเทวินทร์ มีทรัพย์ หัวหน้า อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ได้เดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับ นายสมาน หงษ์เอี่ยม ชาว อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ในข้อหา ยึดถือ ครอบครองและกระทำด้วยประการใดๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยมิได้รับอนุญาต หมู่ที่ 2 ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เนื้อที่จำนวน 1 ไร่ สิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ท จำนวน 4 หลัง ซึ่งเป็นพื้นที่เดิมของรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " ที่ทางหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ได้เคยแจ้งความดำเนินคดีและตรวจยึดไปเมื่อวันที่ 27ก.ค. 2559 โดยคดีอาญาดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว
กรมอุทยาน ฯ แจ้งจับ ขบวนการล้มคดี รื้อกระท่อมริมธาร อุทยานแห่งชาติเขาแหลม
และได้แจ้งความดำเนินคดีกับ นายกิตติพงษ์ ต้นสมบูรณ์ เจ้าของรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " นางสมหวัง ต้นสมบูรณ์ มารดาเจ้าของรีสอร์ท นางต้องตา ขันธวิธิ เพื่อนบ้านเจ้าของรีสอร์ท ในข้อหา เป็นผู้ร่วมสนับสนุนการกระทำผิดดังกล่าว ต่อพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี สำหรับการแจ้งความดังกล่าว สืบเนื่องมาจาก วันที่ 17 ต.ค. 2563 นายสมาน พร้อมด้วยทนายความ ได้นำเอกสารซึ่งเป็นหนังสือสัญญาจะซื้อ จะขาย สิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ทชื่อ " กระท่อมริมธาร " เลขที่ 8/7 หมู่ที่ 2 ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ในเขต อุทยานแห่งชาติเขาแหลม มาแสดงต่อหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม และแจ้งว่าตนได้ซื้อสิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " มาจากนายกิตติพงษ์ นางสมหวัง นางต้องตา และตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองแล้ว ในวันที่ 2 เม.ย. 2558 ตามสัญญาจะซื้อ จะขายสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ทดังกล่าว และนายสมาน พร้อมด้วยทนายความ ยังได้เดินชี้แนวเขตรังวัดพื้นที่ ที่นายสมาน จะขออยู่อาศัยในพื้นที่รีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " ดังกล่าว เนื้อที่จำนวน 1 ไร่ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " จำนวน 4 หลัง ที่อ้างว่าตนเองได้ซื้อมาเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว โดยจะขออนุญาตหรือขอเช่าที่ดินกับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชต่อไป ซึ่งทางผู้อำนวยการสำนักบริหารอนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และหัวหน้า อุทยานแห่งชาติเขาแหลม เห็นว่าพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " ดังกล่าว ได้เคยถูกจับกุมดำเนินคดีมาแล้วเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2559 ต่อมาเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2560 ศาลจังหวัดทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ได้มีคำพิพากษาตัดสินว่า นายกิตติพงษ์ เจ้าของรีสอร์ทดังกล่าว มีความผิดฐาน บุกรุก ยึดถือ ครอบครอง อุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยมิได้รับอนุญาต เนื้อที่ 2 ไร่ 2งาน 80 ตาราวา ลงโทษจำคุก 6 เดือน และปรับเป็นเงิน 2 หมื่นบาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้นายกิตติพงษ์ และบริวาร ออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม นายกิตติพงษ์ ไม่อุทธรณ์ คดีอาญาถึงที่สุด ทางหัวหน้า อุทยานแห่งเขาแหลม ก็ได้ใช้มาตรการทางปกครอง ติดประกาศคำสั่งให้นาย กิตติพงษ์ พร้อมบริวาร ให้ รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง รีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " จำนวน 14 หลัง ออกไปให้พ้นในเขต อุทยานแห่งชาติเขาแหลม และที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 17ก.ย.2563 นายกิตติพงษ์ จำเลย ก็ได้ รื้อถอน รีสอร์ทดังกล่าวไปแล้ว จำนวน 6 หลัง แต่หลังจากนายสมานพร้อมด้วยทนายความ เข้ามาอ้างว่าตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " ดังกล่าวแล้ว นายกิตติพงษ์ เจ้าของรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " ก็ไม่ได้รื้อถอนรีสอร์ทดังกล่าวที่เหลืออยู่อีกเลย เพราะฉะนั้นการที่นายสมาน ได้ซื้อสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " ดังกล่าวในปี พ.ศ.2558 ก่อนถูกดำเนินคดีในปี พ.ศ.2559 ถึงแม้นายสมาน อ้างว่าซื้อแค่สิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้ซื้อที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลม แต่สิ่งปลูกสร้างรีสอร์ทดังกล่าว เป็นอสังหาริมทรัพย์ มีลักษณะตรึงตราถาวร ติดอยู่กับที่ดิน อุทยานแห่งชาติเขาแหลม จึงเป็นส่วนควบของที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 144 และคำพิพากษาฎีกาที่ 892/2490 ได้วางบรรทัดฐานไว้ว่า สิ่งปลูกสร้าง ที่มีลักษณะตรึงตราถาวรในที่ดิน และปลูกสร้างในที่ดินของผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาต ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินนั้น จึงถือได้ว่า นายสมานซื้อสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " ดังกล่าวควบที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลมไปด้วย จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ในมาตรา 19 (1 ) ห้ามมิให้ผู้ใด ยึดถือ ครอบครอง หรือกระทำประการใดๆในเขตอุทยานแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต ระวางโทษจำคุก 4 -20 ปี ปรับตั้งแต่ 4 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประกอบกับนายสมานพร้อมด้วยทนายความได้มาแสดงตัวด้วยตนเอง และชี้แนวเขตรังวัดเนื้อที่ จำนวน 1 ไร่ และอ้างสิทธิสิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " จำนวน 4 หลังที่ยังไม่ได้รื้อถอน เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เพื่อขออยู่อาศัย การกระทำดังกล่าวยิ่งแสดงเห็นได้ชัดเจนว่านายสมานมีเจตนาอย่างชัดแจ้ง ในการยึดถือ ครอบครอง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยมิได้รับอนุญาต ส่วนนายกิตติพงษ์ นางสมหวัง และนางต้องตา รู้อยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวตนเองไม่มีเอกสารกรรมสิทธิ์ หรือ สิทธิครอบครอง ตามกฎหมายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม และอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ก็ได้ประกาศจัดตั้งในราชกิจจานุเบกษาใน ปี พ.ศ.2534 และได้ปิดประกาศแจ้งให้ประชาชนในท้องถิ่นทราบโดยทั่วไปแล้ว จึงถือได้ว่าบุคคลทั้ง 3 คนรู้แล้วว่าสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกา ที่ 3009/2537 แต่ยังได้ทำหนังสือสัญญาขายสิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร " ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลมโดยมิได้รับอนุญาต ให้กับนายสมานอีก ทำให้นายสมาน มีข้ออ้างในการเข้ามา ยึดถือ ครอบครอง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ในบริเวณดังกล่าวได้ บุคคลทั้งสามจึงเป็นผู้ร่วมสนับสนุนในการกระทำผิดดังกล่าว ระวางโทษ 2 ใน 3 สำหรับความผิดที่ได้สนับสนุนนั้น ผู้อำนวยการสำนักบริหารอนุรักษ์ที่ 3( บ้านโป่ง) และหัวหน้า อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ยังได้แจ้งว่าอยากให้ทาง DSI มาช่วยสอบสวนในเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากเป็นคดีที่ซับซ้อน ในข้อกฎหมาย ผู้กระทำผิดมีทนายความที่ชำนาญด้านกฎหมายอย่างมากคอยแนะนำ และช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทางผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมจะต่อสู้คดีกับนายทุนถึงที่สุด เพื่อปกป้องรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรสมบัติของชาติ เพื่อเหลือเอาไว้ให้กับลูกหลานของคนไทยในอนาคต เพื่อเป็น แหล่งต้นน้ำ ลำธาร ของประชาชนคนไทยทุกคน ตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีฯ ดังกล่าว ต่อไป
กรมอุทยาน ฯ แจ้งจับ ขบวนการล้มคดี รื้อกระท่อมริมธาร อุทยานแห่งชาติเขาแหลม