เป็นอีกครั้ง ที่เกิดเหตุสลดบนท้องถนน “ไม่หลบรถกู้ชีพ” จนนำไปสู่การ “สูญเสีย”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในคืนวันที่ 21 ธ.ค.63 เจ้าหน้าที่พยาบาลกู้ชีพของโรงพยาบาลสมุทรปราการ ได้ถ่ายคลิป ระหว่างทางไปรับผู้ป่วยฉุกเฉิน หมดลมหายใจ ในซอยวิทยุการบิน ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ
ในคลิป เสียงสัญญาณฉุกเฉิน เสียงดังลั่น แต่มีรถเก๋งคันหนึ่ง ไม่ยอมหลบทาง
รถเก๋งขับขวางไม่ยอมหลบ เจ้าหน้าที่จึงเปลี่ยนเลน เพื่อเร่งไปช่วยผู้ป่วย แต่คนขับรถเก๋ง ยังไม่หยุด ขับปาดเข้าเลนซ้ายพร้อมเปิดกระจกเรียกให้รถกู้ชีพจอดข้างทาง ก่อนเดินลงจากรถ ต่อว่าเจ้าหน้าที่ พร้อมขอเปิดรถดูว่ามีคนป่วยหรือเปล่า ?
ด้านเจ้าหน้าที่พยาบาลพยามอธิบายและร้องขอให้รถพยาบาลเข้าไปรับผู้ป่วยก่อน เนื่องจากผู้ป่วยอาการวิกฤตและหยุดหายใจ แต่คนขับรถเก๋ง ไม่เชื่อเจ้าหน้าที่จึงให้คนขับรถเก๋ง ขับตามมายังบ้านผู้ป่วย
ขณะเดียวกัน ก็มีคลิปอีกมุม เป็นคลิปที่เจ้าหน้าที่กู้ภัย ช่วยกันปั๊มหัวใจ ยื้อชีวิตให้กับผู้ป่วยวัย 46 ปี ระหว่างรอรถพยาบาลกู้ชีพจากโรงพยาบาลสมุทรปราการมารับตัว
แต่…ไม่ทันค่ะ รถพยาบาลกู้ชีพมาถึงช้าไปในการส่งตัวไปรักษา ผู้ป่วยรายนี้ เสียชีวิตระหว่างทาง
ขณะที่คลิปวีดีโออีกมุมที่มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยท่านหนึ่งบันทึกเหตุการณ์เอาไว้แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทั้งทีมกู้ชีพและกู้ภัยพยามช่วยกันปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิตให้กับผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นชายวัย 46 ปี ระหว่างที่รอรถพยาบาลกู้ชีพจากโรงพยาบาลสมุทรปราการมารับตัวส่งตัว สุดท้ายผู้ป่วยรายนี้เสียชีวิตระหว่างทาง
หลังเจ้าหน้าที่รถกู้ชีพ จัดการเรื่องผู้ป่วยรายเรียบร้อย ได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ
ตำรวจรับเรื่อง ตรวจสอบพบ นายสัมฤทธิ์ เป็นผู้ขับรถเก๋งคันดังกล่าว จึงติดตามไปยังบ้านพัก พบรถเก๋งคันก่อเหตุจอดอยู่หน้าบ้านพัก ก่อนจะพบตัวนายสัมฤทธิ์ เจ้าตัวถึงกับหน้าถอดสี เมื่อตำรวจแจ้งเหตุพร้อมขอทำการจับกุม
ที่สลดยิ่งกว่านั้น แม่ของ นายสัมฤทธิ์ ได้ร้องขอต่อตำรวจ อย่าจับลูกชายตนเลย เพราะไม่มีเงินไปประกันตัว แต่กฎหมายต้องเป็นไปตามกฎหมาย ตำรวจคุมตัว นายสัมฤทธิ์ ไปตรวจวัดแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด พบแอลกอฮอล์สูงถึง 190 มิลลิกรัม สูงกว่ากฎหมายกำหนด
ตำรวจ แจ้ง 2 ข้อหา คือ ขับรถในขณะเมาสุรา และ ข้อหา การขับรถกีดขวางเส้นทางรถพยาบาล ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 76 ระบุว่า เมื่อเห็นรถฉุกเฉินในขณะปฏิบัติหน้าที่ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบ หรือได้ยินเสียงสัญญาณไซเรน จะต้องให้รถฉุกเฉินผ่านไปก่อน หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท
นอกจากนั้นอาจถูกแจ้งข้อหาหนักอีกกระทงคือเข้าข่ายกระทำความผิดโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หรือกระทำโดยเจตนาเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ขณะที่มีรายงานว่าทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตเตรียมแจ้งความเอาผิดเพิ่มด้วยเช่นกัน
นายสัมฤทธิ์ ผู้ก่อเหตุหลังถูกจับกุมเจ้าตัวออกมายอมรับผิดและกล่าวคำขอโทษ อ้างสาเหตุที่กระทำพฤติกรรมดังกล่าว เพราะรถพยาบาลจี้ตูด ยอมรับว่าเห็นไฟฉุกเฉินแต่ไม่ได้ยินเสียง เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวส่งเข้าห้องขังเพื่อรอสอบปากคำดำเนินการตามกฎหมายต่อไป