อีจัน ได้รับรายงานมาว่า 8 ม.ค.64 นี้ นายไชย์พล หรือลุงพล และนางสมพร หรือป้าแต๋น ถูกเชิญตัวมาที่ จ.ปทุมธานี เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์
โดยต้องถูกผู้เชี่ยวชาญซักถามก่อนเข้าสู่กระบวนการใช้เครื่องจับเท็จ
จากที่ได้รับรายงาน มีข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวคนใกล้ชิด น้องชมพู่ มาเข้าสู่กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งหมด
โดยวันที่ 5 ม.ค.64 น้องสะดิ้ง พี่สาวของน้องชมพู่ ถูกเชิญมาเข้าสู่กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ เป็นคนแรก โดยใช้เวลาในการสัมภาษณ์ประมาณ 1 ชั่วโมง
หลังจากนั้น นายอนามัย พ่อของน้องชมพู่ เป็นคนที่สอง ที่ถูกสัมภาษณ์ ก่อนจะเข้าเครื่องจับเท็จโดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
และนางสาวิตรี แม่ของน้องชมพู่ เป็นคนที่สามที่ถูกสัมภาษณ์ก่อนเข้าเครื่องจับเท็จ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเช่นกัน
น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนจุดพบศพบนภูเหล็กไฟได้ด้วยตนเอง เพราะ
1. เส้นทางขึ้นภูเหล็กไฟได้มี 4 เส้นทาง ที่ยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่
2. พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานไปเพียงไข่เจียว 3 คำ น้ำส้ม 1 ขวด ไม่เพียงพอต่อการเดินไปจุดพบศพนั้นแน่นอน
3. จากการสอบถามประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่าเด็ก 3 ขวบ ถ้าจะขึ้นเขาภูพานน้อย ก็ขึ้นได้มากสุดแค่ชั้น 2 ไม่มีทางไปถึงจุดพบศพแน่นอน
4. กรณีศึกษาการหลงป่า ของ นางทิน เชื้อคมตา ระยะทางพลัดหลงไกลว่าน้องชมพู่ 2 เท่า แต่ชาวบ้านกกตูมชาวบ้านสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว
5. แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ ยืนยืนว่า พัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้ ณจุดที่พบศพ กุมารแพทย์ยังชี้ว่าพัฒนาการของเด็กวัยนี้หากหลงทางห่างจากบ้านไป 200 เมตร ยังคงเห็นบ้านตัวเอง และกลับมาได้สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งพ่อแม่ของน้องชมพู่ยืนยันว่าน้องชมพู่ไม่สามารถถอดเสื้อเองได้
7. พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ 36 เส้น ถูกตัดหรือเฉือนด้วยมีด เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น เนื่องจากน้องชมพู่ไม่สามารถเฉือนเองได้
8. พ่อ แม่ คนในครอบครัวนิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง กลัวที่มืด กลัวป่า กลัวสุนัข กลัวสวนยาง ที่ผ่านมาของน้องชมพู่ไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง พ่อแม่ไม่เคยพาไป
จึงเชื่อได้ว่า มีผู้พาน้องชมพู่ไป และทำให้น้องชมพู่ถึงแก่ความตาย ทั้งทางตรง ทางอ้อม
แล้วใครคือคนที่พาน้องชมพู่ ขึ้นไป ตามที่ ผบ.ตร.บอกเอาไว้ ไม่นานนี้ คงได้คำตอบ