ศรีสุวรรณ เตรียมร้องเรียน มาตรการแก้ไขโควิด เอื้อนายทุน?

ศรีสุวรรณ เตรียมร้องเรียน ต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน พบพิรุจ มาตรการแก้ไขโควิด เอื้อนายทุน ?

ภาพจากอีจัน

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้เฝ้าติดตามการทำงานแก้ไขปัญหาการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ มาตรการแก้ไขโควิด มาอย่างต่อเนื่อง พบว่า มีข้อพิรุธเป็นที่ผิดสังเกต ซึ่งก่อให้เกิดความคลางแคลงใจ และเกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนทั่วไปอย่างมาก จึงจำเป็นต้องตรวจสอบความจริงของรัฐบาล ผ่านการตรวจสอบของผู้ตรวจการแผ่นดิน ในประเด็นต่างๆ ประกอบด้วย
1.กรณีปิดตลาดนัด เป็นมาตรการป้องกันการระบาด โดยภาครัฐ เริ่มต้นด้วยการเลือกปิดตลาดนัด ปิดร้านอาหาร พ่อค้าแม่ค้าเดือดร้อน เพราะไม่มีแหล่งค้าขายสินค้า เพื่อหารายได้ รัฐประกาศปิดตลาดนัด เพราะกลัวประชาชนจะไปแออัดกันซื้อสินค้าตลาดตลาดนัด แต่รัฐไม่ปิดห้างสรรพสินค้าที่มีระบบแอร์ตลอดเวลา และเป็นสถานที่ปิด ซึ่งมีความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า แต่เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมากจึงผ่อนคลายให้ การดำเนินมาตรการแก้ไขโควิด ดังกล่าวของรัฐ เป็นการเอื้อกลุ่มนายทุนแต่ทุบผู้ประกอบการรายย่อย เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่?

2.กรณีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้ก่อสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย เพื่อแจกฟรีให้กับบุคลากรทางการแพทย์และคนไทยทั่วไป ใช้ป้องกันไวรัสโควิด-19 โดยมีกำลังการผลิตของโรงงานอยู่ที่ 100,000 ชิ้นต่อวัน หรือ 3 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยเริ่มผลิตและส่งมอบให้กับทางราชการมาตั้งแต่กลางเดือนเมษายน 2563 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันก็น่าจะเกือบ 30 ล้านชิ้นแล้ว หน้ากากดังกล่าว หายไปไหน? ทำไมคนไทยยังต้องวิ่งซื้อหามาใช้อย่างยากลำบากอีก เมื่อมีการระบาดระลอกใหม่ มีหน่วยงานใดยักยอกไว้ใช้ โดยไม่นำมาแจกจ่ายให้ประชาชนหรือไม่? หรือว่าโรงงานไม่ได้ผลิตตามที่โฆษณาไว้จริง หรือมีการลักลอบนำเอาหน้ากากไปซื้อขายกันในตลาดมืด

3.กรณีการนำวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาฉีดให้คนไทยอย่างล่าช้า ทั้งที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค นำมาใช้ฉีดให้กับพลเมืองของตนนานแล้ว อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย และล่าสุดได้แก่ สปป.ลาว แต่สำหรับประเทศไทยโฆษณาชวนเชื่อมานานแล้ว ว่าจะซื้อวัคซีนจาก บ.แอสตราเซเนกา (ไทย-อังกฤษ) ซึ่งใช้สูตรยาและเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ร่วมกับ บ.แอสตราเซเนกา ซึ่ง บ.สยามไบโอไซเอนซ์ จะเป็นผู้ผลิต และจะเริ่มนำมาใช้ประมาณ พฤษภาคม-มิถุนายน นี้ เป็นต้นไป จนครบ 26 ล้านโดส ซึ่งถือว่าล่าช้ามาก กระทั่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ต่อมาไปจัดซื้อวัคซีนบางส่วนที่พัฒนาโดยบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค บริษัทเภสัชภัณฑ์ของจีน จำนวน 2 ล้านโดส โดยชุดแรก 2 แสนโดส จะขนส่งมาถึงไทยช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ และชุดที่สอง 800,000 โดส จะมาถึงช่วงสิ้นเดือนมีนาคม และอีก 1 ล้านโดส จะมาถึงช่วงสิ้นเดือนเมษายน ทั้งนี้การที่รัฐบาลไปจัดหาวัคซีนจากจีน มีความเกี่ยวข้องกับการที่มีบริษัทเจ้าสัวจากเมืองไทยไปเข้าถือหุ้น 15% ใน “ซิโนแวค” บ.ผลิตวัคซีนโควิด-19 ของจีน เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กันและกันใช่หรือไม่ด้วย และทำไม อย.จึงไม่รีบรับรองวัคซีนของบริษัทต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ รพ.เอกชนสามารถจัดซื้อจัดหามาใช้ได้อย่างรวดเร็วได้ รัฐบาลมีอะไรซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง?

นอกจากนั้น การที่มีการปิดบังไทม์ไลน์ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไปใช้บริการร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่มีการเปิดเผยให้ประชาชนทราบ และไม่มีการสั่งปิด แต่กลับมาสั่งปิดสถานที่อื่นๆ แทนนั้นเป็นการเอื้อกลุ่มทุนแต่ทุบผู้ประกอบการรายย่อย เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่? โดยสมาคมฯ จะไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ในวันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์ราชการ อาคาร B ห้อง 903