คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ไฟเขียว ให้เอกชนร่วมหา วัคซีนโควิด

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแผน ให้ เอกชน ร่วมจัดหาวัควีนโควิด

่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลาโหม มหาดไทย แรงงาน ศึกษาธิการ การต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โรงพยาบาลเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และสาธารณสุข ผู้แทนสภาวิชาชีพและองค์กรอิสระ เข้าร่วมการประชุม

ภาพจากอีจัน

นายอนุทินกล่าวว่า ในวันนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการเตรียมความพร้อมการให้บริการวัคซีน โควิด 19 ในประเทศไทย ด้านการบริหารจัดการวัคซีน การสร้างการรับรู้ การให้บริการวัคซีน การกำกับติดตามผลการดำเนินงาน และการเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต การรักษาความมั่นคงของระบบสาธารณสุขและสังคม ลดการแพร่กระจายเชื้อ ความเสี่ยงผู้สัมผัส โดยวัคซีนที่จัดหามานั้น ได้มาตรฐาน คุณภาพ และได้รับการขึ้นทะเบียนกับ อย.เรียบร้อย

ภาพจากอีจัน
ในช่วงแรกที่วัคซีนจำกัด เป้าหมายคือการลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต และปกป้องระบบสุขภาพประเทศ กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับอันดับต้นคือ 1. บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน 2.ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง หัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน 3.ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ 4.เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 เช่น อสม. ทหาร ตำรวจ ที่จะต้องคัดกรองผู้ที่เข้ามาจากต่างประเทศและในพื้นที่ที่มีการระบาด เริ่มในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยจะฉีดคนละ 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน นอกจากนี้ ได้เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อกำหนดนโยบายและแนวทางการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของประเทศไทย ด้าน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้กำหนดการรณรงค์ให้บริการวัคซีน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – พฤศจิกายน 2564 โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเร่งสื่อสารประชาชน ให้มีความรู้ทั้งผลดีและข้อความระวัง และประสานโรงพยาบาลรัฐทุกสังกัดและโรงพยาบาลเอกชนร่วมให้บริการ และได้ให้โรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทุกแห่ง สำรวจกลุ่มเป้าหมายล่วงหน้า เตรียมจัดบริการรองรับการฉีดวัคซีนจำนวนมาก จัดทีมบริการเคลื่อนที่ และเตรียมความพร้อมเรื่องระบบลูกโซ่ความเย็น โดยจะมีระบบการเฝ้าระวังอาการภายหลังได้รับวัคซีน และติดตามประเมินผลการให้บริการเป็นรายเขต จังหวัด อำเภอ และพื้นที่

นอกจากนี้ ภายหลังการประชุม นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ให้สัมภาณ์กับสื่อมวลชนว่า ที่ประชุมมีการแต่งตั้ง อนุกรรมการอำนวยการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่จะมาขับเคลื่อนการทำงานรูปแบบการฉีดวัคซีนในครั้งนี้ หลังจากที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้กำหนดกลุ่มคนที่จะได้รับ ปริมาณการฉีดวัคซีนไว้แล้ว รวมถึงที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนเตรียมพร้อมการฉีดวัคซีน

ภาพจากอีจัน

นอกจากนี้ ยังมีเป็นการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน ในการดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับคนไทยให้ได้ครอบคลุมเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งหลักการที่จะนำวัคซีนมาใช้ให้กับคนไทยมีหลักสำคัญ 2 ประการ คือ ต้องมีผลพิสูจน์ว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพจริง ซึ่งจะมีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คอยกำกับดูแล โดยไม่ได้มีการปิดกั้นการขึ้นทะเบียนวัคซีนแต่อย่างใด แต่ปัญหาอยู่ที่ กระบวนการการขึ้นทะเบียนของบริษัทนำเข้า ที่ต้องการให้เรากำหนดจำนวนวัคซีนก่อน