
คืบหน้าคดีเดือด “ดิไอคอนกรุ๊ป” (The iCon Group) บริษัทเครือข่ายชื่อดัง ก่อตั้งโดย บอสพอล วรัตน์พล ที่มีดาราระดับตัวท็อปเป็นบอส มีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนว่าถูกขายฝันให้มาร่วมลงทุน แต่สุดท้ายก็ผิดหวังสิ้นเนื้อประดาตัว สร้างความเสียหายให้ประชาชนเป็นจำนวนมาก
วานนี้ มีรายงานว่า หลังจากที่ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) มีคำสั่งให้ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เข้ามาร่วมสืบสวนสอบสวนในคดีดิไอคอน พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. ได้หารือร่วมกับ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. เกี่ยวกับการแจ้งข้อหากับบรรดาบอสทั้ง 18 คน เพิ่มเติม
โดยข้อหาความผิดที่จะแจ้งเพิ่มนั้น นอกจากข้อหาฉ้อโกงประชาชน , ข้อหาความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์แล้ว ยังมีข้อหาร่วมกันกระทำผิดฐานฟอกเงินเป็นหลัก นอกจากนี้ อาจมีข้อหาอื่นๆ ประกอบ เช่น ความผิดตาม พรก.การกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ลูกโซ่) รวมไปถึงข้อหาย่อย เช่น อั้งยี่และซ่องโจร เนื่องจาก กลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมเป็นขบวนการในลักษณะขององค์กรอาชญากรรมด้วย
การแจ้งข้อหาเพิ่มเติมนั้น ทีมสอบสวนจะมอบให้พนักงานสอบสวนของตำรวจสอบสวนกลาง เข้าไปแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้งหมดในเรือนจำ ซึ่งคาดว่าจะสรุปข้อหาทั้งหมดที่จะแจ้งเพิ่มเติมได้ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งชุดพนักงานสอบสวนจะประสานงานกับทีมสืบสวนที่มีตำรวจ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เป็นตัวหลักในการตรวจสอบเส้นทางการเงินและสถานะทรัพย์สินของผู้ต้องหาแต่ละราย เพื่อให้ได้หลักฐานโยงไปสู่การกระทำความผิดฐานฟอกเงินด้วย
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากมีการแจ้งข้อหาฐานร่วมกันฟอกเงินแล้ว ทีมสอบสวนของสอบสวนกลางจะต้องหารือกันอย่างใกล้ชิดกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ว่า จะมีการรับสำนวนไปดำเนินคดีต่อ ตามขั้นตอนของกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากว่าเข้าหลักเกณฑ์เป็นคดีพิเศษ ขณะนี้คาดว่าดีเอสไอก็กำลังพิจารณาอยู่ด้วย
ส่วนการขยายผลไปสู่การจับกุมผู้ต้องหากลุ่มที่ 2 ขณะนี้พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมหลักฐานและให้ชุดสืบสวนแกะรอย ซึ่งจะต้องออกหมายเรียก หรือหมายจับผู้ต้องหาในกลุ่มต่อไปอย่างแน่นอน เช่น กลุ่มแม่ข่ายต่างๆ รวมไปถึงกลุ่มพนักงานของบริษัทบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลงนามในเอกสารที่มีผลทางกฎหมาย แต่คงใช้เวลาตรวจสอบหลักฐานอีกระยะ
ขณะที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัปเดตยอดผู้เสียหายคดีดิไอคอนกรุ๊ป 11 วัน แจ้งความแล้ว 5,648 ราย ความเสียหาย 1,611 ล้าน คืบหน้ายึดทรัพย์เพิ่ม ยอดรวม 225 ล้าน รถ 29 คัน บ้านที่ดิน 3 แปลง นาฬิกา แบรนด์เนม 151 รายการ ปืน 2 กระบอก
ขอบคุณข้อมูลจาก: สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว , สำนักงานตำรวจแห่งชาติ