
สืบเนื่องจากรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างต่อเนื่อง และกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติที่หน่วยงานต่าง ๆ ต้องบูรณาการความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เนื่องจากพบว่าปัจจุบันปัญหาหนี้นอกระบบทวีความรุนแรงมากขึ้น มีการปล่อยเงินกู้โดยเรียกดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนอย่างอื่นในอัตราที่สูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งยังอาศัยช่องว่างกฎหมายในการเอารัดเอาเปรียบลูกหนี้ การข่มขู่ทวงหนี้โดยใช้ความรุนแรง มีการกระทำในลักษณะเป็นเครือข่ายผู้มีอิทธิพล และเป็นองค์กรอาชญากรรม ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ ขาดการสนับสนุนแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิต ขาดความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมายและการทำสัญญา เมื่อถูกฟ้องร้องดำเนินคดีแล้วไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างทันท่วงที จนเป็นเหตุให้ถูกบังคับคดีและยึดทรัพย์สิน โดยเฉพาะที่ทำกินและที่อยู่อาศัย ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในหลายพื้นที่ของประเทศ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) โดยศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม (ศนธ.) ได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรมจากลูกหนี้ ซึ่งกู้ยืมเงินนอกระบบจากเจ้าหนี้ย่านบางเขน โดยลงชื่อกู้เงินในสัญญาเงินกู้เปล่าและถูกเปลี่ยนแปลงยอดเงินในสัญญาเงินกู้ ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทั้งที่ได้ชำระหนี้เป็นเงินสดให้กับเจ้าหนี้ไปครบถ้วนแล้วแต่ไม่มีหลักฐานการชำระเงิน และเจ้าหนี้ไม่ยอมคืนสัญญาเงินกู้ให้ ต่อมาได้ถูกเจ้าหนี้ยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลเพื่อให้ชดใช้หนี้ ยึดสมุดบัญชีธนาคารและบัตรเอทีเอ็ม (บัตรกดเงินสด) ทำให้ได้รับความเดือดร้อน
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้สั่งการให้ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ดำเนินการสืบสวนกรณีดังกล่าว ซึ่งจากการสืบสวนในเบื้องต้นพบว่า เจ้าหนี้มีพฤติการณ์การปล่อยเงินกู้นอกระบบและเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยคิดดอกเบี้ย ร้อยละ 10-20 ต่อเดือน ในพื้นที่เขตบางเขน เขตลาดพร้าว และพื้นที่ใกล้เคียง ทำมานานกว่า 10 ปี อีกทั้งยังมีพฤติกรรมเอาเปรียบลูกหนี้ ด้วยการทำสัญญากู้ยืมโดยระบุจำนวนเงินในสัญญาสูงกว่าจำนวนเงินที่ลูกหนี้ได้รับจริง คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10-20 บาทต่อเดือน และจะหักค่าปากถุง 10% ของจำนวนเงินกู้ และมีการคิดดอกเบี้ยรายวันในอัตราร้อยละ 20 บาท (ดอกลอย) คือ ทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวนเงิน 10,000 บาท ส่งดอกเบี้ยรายวัน วันละ 200 บาท เงินต้นไม่ลดจนกว่าจะนำเงินต้นทั้งหมดมาคืนภายในคราวเดียว และยังมีพฤติกรรมทวงหนี้โหดข่มขู่ด่าทอให้ได้รับความอับอาย รวมไปถึงการที่ลูกหนี้ผ่อนชำระหนี้ใกล้จะหมด หรือหมดแล้ว ก็จะชวนทะเลาะและเจ้าหนี้จะนำสัญญาเงินกู้ไปฟ้องร้องต่อศาลโดยกำหนดทุนทรัพย์เต็มจำนวนตามที่ระบุในสัญญา เมื่อลูกหนี้ชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ในแต่ละครั้งนั้น เจ้าหนี้จะไม่ยอมทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรให้ไว้เป็นหลักฐานการชำระหนี้แก่ลูกหนี้ หรือบางกรณีเมื่อลูกหนี้ชำระหนี้งวดสุดท้ายแล้ว เจ้าหนี้จะให้ลูกหนี้นำเงินมาชำระที่บ้านของเจ้าหนี้และบอกให้ฉีกทำลายเอกสารการกู้ยืมเงิน แต่เมื่อลูกหนี้ได้ทำลายเอกสารสัญญาเงินกู้ เจ้าหนี้จะนำความดังกล่าวไปแจ้งความดำเนินคดีกับลูกหนี้ในข้อหาบุกรุกและทำลายเอกสารสัญญาเงินกู้ ประกอบกับแจ้งความว่าสัญญาเงินกู้หายเพื่อเป็นหลักฐานในการนำมาฟ้องร้องคดีตามสัญญาเงินกู้อีก
โดยเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 62 กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม นำโดย พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม , นางอุมาพร แพรประเสริฐ ผู้ช่วยเลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และคณะเจ้าหน้าที่คดีพิเศษกรมสอบสวนคดีพิเศษ บูรณาการร่วมกับกำลังพลศูนย์ป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน กำลังพลเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกคาม และกำลังพลกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเขตบางกะปิ เขตลาดพร้าว กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 9 สนธิกำลังเข้าตรวจค้นตามหมายค้นรวม 3 จุด โดยพบหลักฐานที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดหลายรายการที่บ้านเลขที่ 171 และพบเจ้าหนี้พักอาศัยอยู่และนำตรวจค้น ดังนี้ สมุดบัญชีรายชื่อลูกหนี้, การชำระเงิน, สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร และบัตรเอทีเอ็มของลูกหนี้ สำเนาคำฟ้องที่ปรากฏชื่อเจ้าหนี้เป็นโจทก์ฟ้อง, สำเนาหมายบังคับคดี, เงินสดจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่รวบรวมเอกสารได้ 11 กล่อง และ 13 ถุงดำ พนักงานสอบสวน สน.บางเขน ได้ลงบันทึกประจำวันและส่งมอบศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป