ศาลปกครองเชียงใหม่ ยกฟ้อง! คดีป่าแหว่ง ชี้อยู่นอกเขตป่าสงวน

ปิดฉากคดีป่าแหว่ง! ศาลปกครองเชียงใหม่ ยกฟ้อง เพิกถอน-ปรับปรุง บ้านพักตุลาการ ชี้การสร้างไม่ขัดต่อกฎหมาย

จากกรณีที่ชาวบ้านในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ รวมตัวเรียกร้องขอคืนพื้นที่ป่า ดอยสุเทพ จากโครงการก่อสร้าง บ้านพักข้าราชการตุลาการ ในพื้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 จ.เชียงใหม่

ความคืบหน้าล่าสุด (27 ก.ค. 65) ศาลปกครองเชียงใหม่ ได้มีคำพิพากษา คดีป่าแหว่ง โดยคดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมธนารักษ์) มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอด (สำนักงานศาลยุติธรรม) ใช้พื้นที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขที่ ชม.1723 (บางส่วน) ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เนื้อที่ 147 ไร่ 3 งาน 30 ตารางวา ก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลบ้านพักตุลาการ และข้าราชการศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เนื่องจาก พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่า บางส่วนทับซ้อนกับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ดอยสุเทพ มีความสวยงามตามธรรมชาติของผืนป่าดอยสุเทพ อำนาจอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่เป็นอำนาจของอธิบดีกรมป่าไม้ไม่ใช่อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดี

อีกทั้งไม่มีการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียก่อนการพิจารณาอนุญาต เพราะผลจากที่ได้รับอนุญาตในการก่อสร้างอาคารดังกล่าวของผู้ร้องสอด จะต้องมีการตัดโค่นต้นไม้ทำลายป่า ทำให้เกิดสภาพป่าแหว่ง ทำให้ผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามรัฐธรรมนูญและเป็นผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และอุทยานแห่งชาติป่าดอยสุเทพ เสียสิทธิที่จะได้ชื่นชมความงดงามตามธรรมชาติของผืนป่าดอยสุเทพ

จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอน และให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและปรับปรุงพื้นที่ให้กลับมามีสภาพดังเดิม

คดีนี้ ศาลปกครองเชียงใหม่ วินิจฉัยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า พื้นที่ราชพัสดุแปลงพิพาททั้งแปลงอยู่นอกแนวเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยสุเทพ และนอกแนวเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย

อำนาจอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุแปลงพิพาท เป็นอำนาจของกรมธนารักษ์ผู้ถูกฟ้องคดี

การพิจารณาอนุญาตให้สำนักงานศาลยุติธรรมผู้ร้องสอด ใช้พื้นที่ที่ราชพัสดุแปลงพิพาทก่อสร้างอาคารที่ทำการศาล บ้านพักตุลาการ และ ข้าราชการศาลอุทธรณ์ภาค 5 เป็นไปตามขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ เห็นว่ากฎหมายกำหนดขั้นตอนว่า ก่อนการพิจารณาอนุญาตให้ผู้ร้องสอดใช้พื้นที่ที่ราชพัสดุแปลงพิพาท ผู้ร้องสอดจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ประกอบประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2535 และรายงานการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็น ของประชาชน พ.ศ.2548 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดข้อพิพาท เสนอต่อผู้ถูกฟ้องคดี

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ที่ราชพัสดุแปลงพิพาท แม้มีสภาพเป็นป่าที่ลาดเชิงเขา บางส่วนเป็นที่สูงชันอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคเหนือ (ลุ่มน้ำปิง-วัง) แต่เมื่อพื้นที่ดังกล่าวมิได้มีพื้นที่ส่วนหนึ่งส่วนใดทับซ้อนกับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และพื้นที่อุทยานแห่งชาติ

พื้นที่ราชพัสดุแปลงพิพาท จึงไม่อยู่ในบังคับพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 แล้วแต่กรณี

อีกทั้ง พื้นที่ราชพัสดุแปลงพิพาท อยู่ในพื้นที่ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 2 ชั้น 3 และชั้น 4 ผู้ร้องสอดจึง “ได้รับยกเว้นไม่จำต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม” ตามประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมฉบับดังกล่าว

และไม่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียก่อนเริ่มโครงการตามข้อ 14 ( 1 ) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.2548

ดังนั้น การพิจารณาอนุญาตให้ผู้ร้องสอดใช้ที่ราชพัสดุแปลงพิพาทจึงเป็นไปตามขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีที่ว่า การพิจารณาอนุญาตของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 67 วรรคสอง ที่ใช้บังคับในขณะนั้น จึงไม่อาจรับฟังได้

คดีมีปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีอนุญาตให้ผู้ร้องสอดใช้พื้นที่ที่ราชพัสดุแปลงพิพาทเพื่อใช้ก่อสร้างอาคาร ที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 บ้านพักตุลาการ และ บ้านพักข้าราชการศาลอุทธรณ์

ภาค 5 เป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีอนุญาตให้ผู้ร้องสอดใช้พื้นที่ที่ราชพัสดุแปลงพิพาท เพื่อดำเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าว ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบแต่อย่างใด

เมื่อผู้ร้องสอดได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ที่ราชพัสดุแปลงพิพาท เพื่อก่อสร้างอาคารดังกล่าว ผู้ร้องสอดจึงชอบที่จะดำเนินการในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อให้การก่อสร้างอาคารดังกล่าวสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ

ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีที่ว่า การก่อสร้างอาคารของผู้ร้องสอดดังกล่าวเป็นเหตุให้มีการโค่นต้นไม้ ทำลายป่า ทำให้เกิดเป็นพื้นที่ป่าแหว่ง อันเป็นการทำลายระบบนิเวศของพื้นที่ป่าไม้ที่สวยงามตามธรรมชาติและมีผลกระทบต่อลำห้วยแม่ชะเยือง จึงไม่อาจรับฟังได้

ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีอนุญาตให้ผู้ร้องสอดใช้พื้นที่ที่ราชพัสดุแปลงพิพาท เพื่อใช้ก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 บ้านพักตุลาการและบ้านพักข้าราชการศาลอุทธรณ์ภาค 5 เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิของผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่ต้องรับผิดดำเนินการตามคำขอของผู้ฟ้องคดี พิพากษายกฟ้อง

คลิปอีจันแนะนำ
คลั่ง! บุกบ้านตำรวจ โดนสวนดับ