“ยาฆ่าหญ้า” อย่ามองข้ามว่าเกี่ยวกับเกษตรกรเท่านั้น ไม่ใช่เกษตรกรก็เกี่ยวเหมือนกัน เพราะสารพิษเหล่านั้นอาจปนเปื้อนมาในผลผลิตที่เราจะกิน จะใช้ด้วย เพียงแต่เกษตรกรอาจจะหนักกว่า เพราะพวกเขาใกล้ชิดที่สุด
กรมควบคุมโรค เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในเกษตรกร สถานการณ์การเจ็บป่วยตั้งแต่ปี 2544 จนถึง 2560 มีรายงานผู้ป่วยรวม 34,221 ราย เสียชีวิต 49 ราย ป่วยเฉลี่ยปีละ 2,013 ราย ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย อายุ 45 – 54 ปี อาชีพเป็นเกษตรกร
และมี สารกำจัดเชื้อรา หากได้รับในปริมาณมากๆ ความเข้มข้นสูง จะทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน มักคอแห้ง แสบจมูก ตาแดง คันตามผิวหนัง มีจุดขาวที่ผิวหนังและผื่นแดง
อีกอย่างหนึ่ง คือ สารกำจัดหนู หรือ สารกัดแทะอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมีผลกระทบต่อทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อ้วก ปวดท้องอย่างรุนแรง บางรายเกิดอาการตับอักเสบเฉียบพลัน บางรายมีอาการแน่นหน้าอกจนหายใจลำบากร่วมด้วย
สารจากยาฆ่าหญ้าเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้สามทางด้วยกัน
จากการหายใจ ซึ่งเราไม่ควรฉีดพ่นขณะที่ลมแรง หรือ ฝนตก ควรจะยืนให้อยู่เหนือลมเสมอและอย่าลืมสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตราย
ทางปาก จะเกิดขึ้นโดยบังเอิญเมื่อเรามีมือที่เปื้อนสารเคมีแล้วไปหยิบไปจับอะไรมากิน พยายามอย่ากินน้ำ อย่ากินอะไรขณะที่มือเปื้อนสารเคมีเหล่านี้ และเพื่อเป็นการป้องกัน ก็ต้องตรวจเช็คอุปกรณ์ให้ดีอย่าให้สารพิษรั่วไหลออกมาเปื้อนมือ หรืออวัยวะของเราได้
อีกทางหนึ่ง คือ ทางผิวหนัง ฉะนั้นต้องใส่ถุงมือปกปิดร่างกายผิวหนังให้มิดชิด ไม่ให้สารเคมีซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันดีกว่าแก้ไขนะคะ
อ่าน : ฉลากเคมีกำจัดศัตรูพืชก่อนใช้และควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ใส่ : อุปกรณ์เครื่องมือป้องกันอันตรายจากสารเคมีขณะทำงาน
ถอด : ชุดและอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ขณะพ่นหรือทำงานแยกซักจากเสื้อผ้าอื่นๆ แล้วรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
ทิ้ง : ผลิตภัณฑ์บรรจุสารเคมีกำจัดศัตรูพืชให้ถูกต้อง ขัดแยกออกจากขยะทั่วไปให้อยู่ในกลุ่มขยะอันตรายทิ้งให้ห่างจากแหล่งน้ำเพื่อป้องกันการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
ช่วยกัน เพื่อเรา เพื่อโลก ไกล “โรค”