ตร.แจงเด็ก 14 เหยื่อรุมโทรมไม่ได้พิการทางสมอง พ่อเชื่อลูกถูกหลอกไปข่มขืน

ทีมสหวิชาชีพร่วมสอบเด็ก 14 เหยื่อวัยรุ่นข่มขืน ด้านตำรวจแจงเด็กไม่ได้พิการทางสมอง

กรณีสลด พ่อชาว ต.หนองแปน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ พา ด.ญ.บี (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี ลูกสาวเข้าร้องทุกข์กับศูนย์ดำรงธรรม จ.กาฬสินธุ์ และยื่นหนังสือกับ พล.ต.ต.ทินณะรัตน์ เพ็ชรพันธ์ศรี ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ เพื่อให้เร่งรัดคดีที่ลูกสาวถูกวัยรุ่น 2 คน หลอกไปแล้วผลัดกันข่มขืน หลังจากได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2562 ซึ่งเวลาผ่านมากว่า 4 เดือนแล้วคดีไม่มีความคืบหน้า ส่วนวัยรุ่นที่ก่อเหตุก็ยังลอยนวลในหมู่บ้านเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งนี้ผู้เป็นพ่ออ้างด้วยว่า 

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน


15 สิงหาคม 2562 พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ ผกก.สภ.กมลไสย พ.ต.ท.ประพนธ์ ภูจอมนิล รองผกก.(สอบสวน) สภ.กมลาไสย ร.ต.อ.ปรัชญา ตั๊นสกุล พนักงานสอบสวนสภ.กมลาไสย เจ้าของคดีได้พาตัว ด.ญ.บี (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี พร้อมด้วยผู้ปกครอง และเพื่อนของ ด.ญ.บี ที่เป็นพยานและไปเที่ยวด้วยกันในวันเกิดเหตุ เข้าสอบปากคำร่วมกับทีมสหวิชาชีพ เจ้าหน้าที่อัยการ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยาและผู้ปกครอง ที่สำนักงานอัยการ จ.กาฬสินธุ์ ก่อนที่จะมีการสรุปสำนวนให้อัยการในสัปดาห์หน้า

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ ผกก.สภ.กมลไสย กล่าวว่า ตนในฐานะผู้กำกับการหัวหน้าสถานีได้ติดตามคดีและประสานงานกับผู้ปกครองของเด็กมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งกำชับให้พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเร่งรัดคดีมาโดยตลอด ทั้งการรับแจ้งความ ส่งตรวจร่างกาย รวบรวมพยานหลักฐาน และแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ก่อเหตุทั้งสองคนแล้ว ซึ่งเหลือเพียงการสอบปากคำเด็กที่เป็นผู้เสียหาย เพราะต้องสอบปากคำร่วมกับทีมสหวิชาชีพ อีกทั้งที่ผ่านมาตัวผู้เสียหายเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเข้ามาให้ปากคำ จึงเกิดการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนระหว่างพนักงานสอบสวน ผู้เสียหายและผู้ปกครอง ทำให้เกิดความล่าช้าไปบ้าง แต่ยืนยันว่าคดีมีความคืบหน้าไปมากแล้ว ซึ่งเหลือการสอบปากคำเด็กในวันนี้ ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะสรุปสำนวนส่งให้กับอัยการภายในสัปดาห์หน้า
ภาพจากอีจัน
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน พบว่า เด็กไม่ได้มีความพิการทางสมอง แต่เป็นบุคคลพิการประเภท 3 คือ ร่างกายเคลื่อนไหวไม่สะดวก เนื่องจากเคยประสบอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์เมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ แต่สามารถพูด ฟัง พูดคุย และสื่อสารได้ อีกทั้งไม่ได้มีการหลอกลวงออกมาจากบ้าน โดยเด็กหญิงได้หนีออกจากบ้านมากับเพื่อน เพื่อไปเที่ยวงานมหรสพในพื้นที่ และไปพบเจอวัยรุ่นที่เป็นเยาวชนชายอายุ 18 ปี ที่นั่งดื่มสุราอยู่ในหมู่บ้าน
ภาพจากอีจัน


ซึ่งจากการสอบสวนทั้งสองคนไม่ใช่คนมีสี หรือ มีญาติเป็นคนมีสี พร้อมกับให้การรับสารภาพว่ามีความสัมพันธ์กับเด็กหญิงจริง แต่ไม่ใช่การรุมโทรม เพราะเป็นการกระทำผิดของผู้ต้องหาคนละครั้ง คนละเวลา โดยเยาวชนชายอายุ18 ปี มีความสัมพันธ์กับเด็กหญิงเสร็จแล้ว ได้พยายามพาตัวกลับไปส่งบ้าน แต่เด็กหญิงไม่ยอมกลับ กลัวจะถูกพ่อดุ จนไปเจอกับนายวุฒิพงษ์ วิเชียรศิลป์ อายุ 22 ปี ที่ร้านขายของชำในหมู่บ้าน แต่นายวุฒิพงษ์ กับพาตัวไปมีความสัมพันธ์กับเด็กหญิงต่อ


พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ กล่าวอีกว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเยาวชนอายุ 18 ปี และผู้เสียหายนั้นให้การอ้างว่า ไม่ได้บังคับข่มขืนกระทำชำเรา แต่เกิดจากความยินยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วยกัน แต่ในทางกฎหมายถือว่ามีความผิด ส่วนกับนายวุฒิพงษ์ จากการสอบสวน ทราบว่า กรณีการกระทำชำเรานั้น เด็กหญิงไม่ได้ยินยอมหรือสมัครใจ ซึ่งตำรวจจะต้องดำเนินการว่ากันไปตามพยานหลักฐาน เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหากับทั้ง 2 คน คือ พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง เพื่อการอนาจาร, พาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจารและกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ส่วนนายวุฒิพงษ์ นั้นจะมีการรวบรวมพยานหลักฐาน และจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีด้วย อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่มีการสืบสวนติดตามจนทราบตัวผู้กระทำผิดนำไปสู่การเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ได้ปล่อยตัวไปในระหว่างการสอบสวน

ด้าน พ่อของ ด.ญ.บี กล่าวว่า ลูกสาวเป็นผู้พิการประเภท 3 เพราะประสบอุบัติเหตุทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวไม่สะดวก และยังมีผลกระทบต่อสมอง คล้ายกับมีการสั่งการและพูดจาช้า ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป เพราะเมื่อครั้งที่ได้รับอุบัติเหตุต้องนอนรักษาตัวและหมดสติในห้องไอซียูนานกว่า 10 วัน ทั้งนี้หลังเดินทางเข้าไปร้องเรียนติดตามคดีให้กับลูกสาว ทำให้ทราบความเคลื่อนไหวว่าคดีมีความคืบหน้า เหลือเพียงการสอบปากคำ และจะมีการสรุปสำนวนส่งให้กับอัยการ ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น จึงขอขอบคุณผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรกมลไสย และศูนย์ดำรงธรรม จ.กาฬสินธุ์ที่ช่วยเหลือเร่งรัดคดีให้ ซึ่งตนยืนยันว่าจะเดินหน้าดำเนินคดีกับผู้ที่ทำกับลูกสาวของตนทั้งสองคนถึงที่สุด เพราะเชื่อว่าเป็นการกระทำย่ำยีลูกสาวและเป็นการหลอกบังคับขืนใจ หลังจากแอบไปเที่ยวกับเพื่อน ซึ่งจะต้องได้รับโทษทางกฎหมาย