จากกรณีเสือโคร่ง ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ตรวจยึดจากวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน จ.กาญจนบุรี จำนวน 147 ตัว และ นำมาดูแล ณ สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน จ.ราชบุรี ซึ่งต่อมาเสือโคร่งของกลาง ทยอยตายลงเรื่อยๆ จน ณ ขณะนี้ เสือโคร่ง ตายไปทั้งหมด 86 ตัว
ต่อมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชี้แจงกรณีสาเหตุการตายของเสือโคร่ง ที่รับมาจากวัดหลวงตาบัวญาณสัมปันโน จังหวัดกาญจนบุรี โดยนายประกิต วงศ์ศรีวัฒนกุล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า
จากการ ที่เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เข้าตรวจยึด เสือโคร่งภายใน สำนักสงฆ์ (หลวงตาบัว) จำนวน 7 ตัว เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2544 ซึ่งขณะการเคลื่อนย้าย มีเสือโคร่ง 1 ตัวตาย ทำให้เหลือเสือโคร่ง 6 ตัว ซึ่งเสือโคร่งและสัตว์ป่าอื่นๆ ที่อยู่ภายในบริเวณพื้นที่ของสำนักสงฆ์หลวงตาบัว ตกเป็นของแผ่นดินเนื่องจากไม่มีบุคคลใดมาแสดงตนเป็นเจ้าของ
โดยทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ พยายามที่จะจัดการกับเสือโคร่งของกลาง แต่ไม่สามารถดำเนินการย้ายออกมาจากวัดได้ จนเสือโคร่งได้สืบขยายพันธุ์เพิ่ม เป็น 147 ตัว ภายในไม่กี่ปี
ต่อมา เสือโคร่งที่รับมาจาก วัดหลวงตาบัวฯ ก็เริ่มมีปัญหาการเจ็บป่วย/ตาย
นายสุนทร ฉายวัฒนะ หัวหน้ากลุ่มงานเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า เล่าว่า การเคลื่อนย้ายเสือโคร่งของกลาง จากวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน จ.กาญจนบุรี จำนวน 147 ตัว เป็นการดำเนินการในภาวะไม่ปกติ
เสือโคร่งที่เคลื่อนย้ายมา ส่วนใหญ่มีภาวะเครียด เนื่องจากการขนย้ายและเปลี่ยนสถานที่
แต่ต่อมาพบปัญหา การเจ็บป่วยระบบทางเดินหายใจ มีอาการหายใจเสียงดังเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งเป็นอาการอัมพาตลิ้น กล่องเสียง ทำให้การหายใจเข้าออกลำบาก
และเมื่ออาการหนักมากขึ้นจะไม่กินอาหาร จนมีอาการชักเกร็ง และตาย ในที่สุด
นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน หัวหน้ากลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การ ดูแลรักษาเสือโคร่งในสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน มีสุขภาพที่ดี ลดอาการป่วย/ตาย จึงกำหนดมาตรการ การดูแลรักษาเสือโคร่ง ทั้งการคัดแยกเสือโคร่งตามอาการ การให้วัคซีนป้องกันโรค และควบคุมให้มีระบบความปลอดภัยทางชีวอนามัย ภายในสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าทั้ง ๒ แห่ง อย่าง เข้มงวด