สภ.เมืองสระแก้ว วุ่น รถกระบะของกลาง หายไปจากโรงพัก 2 คัน ก่อนสืบเจอตัวการ คนในทำเอง
เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (24 ต.ค. 66) พันตำรวจเอก เอกอนันต์ หูแก้ว ผู้กำกับการ สภ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว เปิดเผยว่า หลังจากที่รถของกลาง ยี่ห้อหนึ่ง จำนวน 2 คัน ได้หายไปจากจุดเก็บรถของกลาง บริเวณด้านหลังสถานีตำรวจภูธรเมืองสระแก้ว เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่หนึ่งในเจ้าของรถกระบะที่หายไป เดินทางมาดูซากรถที่จอดเอาไว้ หลังโรงพักเมืองสระแก้ว แต่กลับไม่พบซากรถ ก่อนที่เจ้าของจะแจ้งความดำเนินคดีกับร้อยเวร สถานีตำรวจภูธรเมืองสระแก้ว
โดยผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองสระแก้ว เปิดเผยว่า หลังจากพบว่ารถของกลางได้หายไป ทีมสืบสวนได้เร่งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด และพบข้อมูลจากพยานแวดล้อมใกล้จุดเกิดเหตุ จนทราบว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ 9 โมงเช้า วันที่ 3 ต.ค.66 มีรถกระบะคันหนึ่ง วิ่งเข้าไปยกรถของกลาง ยี่ห้อเชฟโรเลต สีน้ำเงินเข้ม ออกไปทางด้านหลังโรงพัก และมุ่งหน้าไปตามถนนสุวรรณศร ทางหลวงหมายเลข 33 ตำรวจทีมสืบสวนพบว่า รถคันดังกล่าว คือรถกระบะอีกยี่ห้อหนึ่ง ทะเบียน จ.จันทบุรี มุ่งหน้าไปทางจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา ผ่านด่านตรวจกรอกสมบูรณ์ ก่อนจะตรวจสอบข้อมูลจากทะเบียนรถ พบว่า เป็นรถของนาย นพดล อายุ 56 ปี ชาวอำเภอแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งตำรวจได้ติดตามไปจับกุมตัวนายนพดล ได้ในบ้านพักที่มีการดัดแปลงเป็นอู่แยกสิ้นส่วนรถ
นายนพดล รับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมทั้งยอมรับว่า สิบตำรวจเอกวีรยุทธ เป็นคนติดต่อให้มาลากซากรถไป และยังได้แสดงสลิปการซื้อขาย ซากรถกระบะเชฟโรเลต ในราคา 30,000 บาท กับ สิบตำรวจเอก.วีรยุทธ เสมียนคดีที่รับผิดชอบดูแลของกลางภายในโรงพักเมืองสระแก้ว ซึ่งขณะนี้ ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ โดยร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะกระทำผิด รับของโจร
ส่วนการติดตามรถกระบะเชฟโรเลต นางสาวอารียา ที่เป็นข่าวครึกโครม อีกคันหนึ่งที่หายไป ทางตำรวจชุดติดตามคดีนี้ ค่อนข้างจะมั่นใจว่า ผู้ต้องหาต้องเป็นคนเดียวกัน เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานเชื้อมโยงไปถึง ขณะนี้ ตำรวจกำลังเร่งหาหลักฐานเพิ่มเติม ส่วนฐานความผิดของตำรวจนายนี้ ให้ออกจากราชการทันที และถูกควบคุมตัวพร้อมกับนายนพดล ส่งฝากขังศาลจังหวัดสระแก้วไปแล้วเมื่อช่วงสายวันที่ 24 ต.ค. ขณะเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาระดับสูง ยังได้ให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเจ้าหน้าที่และความบกพร่องในครั้งนี้ หากพบว่า เป็นความบกพร่องของนายตำรวจระดับใด จะต้องถูกลงโทษทางวินัยอย่างเด็ดขาด