ทำความรู้จัก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเสี่ยอ่างจอมแฉ

เปิดประวัติชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเสี่ยอ่าง หลังหวิดวางมวย สันธนะ หน้า สน.ทองหล่อ

จากเหตุการณ์เมื่อวันที่(9 พ.ย.65) ผ่านมาหลัก ชูวิทย์เดือด! หวิดวางมวย สันธนะ หน้า สน.ทองหล่อ

🎬 หวิดวางมวย ชูวิทย์ – สันธนะ

อีจันจะพามาทำความรู้จัก กับ ชูวิทย์ อดีตเสี่ยอ่าง ตัวตึงวงการแฉ ผู้เปิดโปงข้อมูลกลุ่มทุนจีนในประเทศไทย ที่เป็นเรื่องน่าจับตามองของสังคมตอนนี้

ทำความรู้จักชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ปัจจุบันอายุ 61 ปี เป็นบุตรคนสุดท้อง มีพี่น้อง 8 คน ชาย 5 คน หญิง 3 คน ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ฮ่องกง ก่อนจะย้ายมาประเทศไทยอาศัยอยู่และเติบโต ในย่านเยาวราช โดยครอบครัวทำธุรกิจนำเข้าและผลิตแบรนด์กางเกงยีนส์ฮาร่า ที่ตอนนี้ผู้พี่ชายดูแลกิจการอยู่

ด้านการศึกษา

ชูวิทย์ ได้เข้าเรียนประถมศึกษา ในโรงเรียนสหพาณิชย์เข้าศึกษาต่อมัธยมต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และ มัธยมปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จากนั้นศึกษาต่อปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขา คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และเคยเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยซานดิเอโกแต่ไม่สำเร็จการศึกษา และหลังจากนั้นได้ศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์

ในส่วนของการทำงานด้านธุรกิจ

ชูวิทย์ ได้เริ่มทำบ้านจัดสรรและเปิดร้านอาบอบนวดชื่อ ‘วิคตอเรีย ซีเคร็ท’ ขยายกิจการจนเป็นเจ้าของทั้งหมด 6 แห่ง ในเครือเดวิสกรุ๊ป ก่อนไปก่อตั้ง ‘มูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์’

จนกระทั่งออกมาแฉเรื่อง การรีดไถ รับส่วย ของตำรวจ จนได้รับฉายา เสี่ยอ่างและจอมแฉ

นอกจากนี้แล้ว ชูวิทย์ยังเป็นเจ้าของโรงแรม The Davis Bangkok Hotel ที่ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 24  ขนาด 7 ไร่โดยเฉพาะที่ดินคาดว่าจะมีมูลค่าหลายพันล้านบาท เพราะสุขุมวิท ซอย 24 เป็นซอยที่ติดอันดับราคาที่ดินที่แพงที่สุดในเมืองไทย ก่อนหน้านี้ อาชู เคยเป็นเจ้าของ สวนชูวิทย์ ปากซอยสุขุมวิท 10 จุดที่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจ บาร์เบียร์ ซึ่งหลังจากมีปัญหา ชูวิทย์ก็เปลี่ยนจุดมุ่งหมายการสร้าง ไปเป็นสวนสาธารณะ และยกให้เป็นสวนสำหรับประชาชนคนกรุงเทพ และเป็นที่ทำการพรรครักประเทศไทย ของตัวเอง ก่อนที่ในปัจจุบัน จะเปลี่ยนเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ เพื่อใช้สอยหลายรูปแบบ

ผลงานการเมือง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

ชูวิทย์ ได้เข้าวงการ การเมืองในปี 2547 ด้วยการลงสมัคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีผลคะแนนออกมาเป็นลำดับที่ 3  ก่อนจะนำพรรค ของตัวเอง ไปรวมกับพรรค ‘ชาติไทย’ แล้วขึ้นเป็นรองหัวหน้าพรรค

อีกหนึ่งปีต่อมาชูวิทย์ได้ลง สมัคร ส.ส. พรรคชาติไทย  ก่อนจะถูกให้พ้นสภาพเนื่องจากยังทำงานไม่ครบจำนวน 90 วันหลังเป็นสมาชิกพรรคชาติไทย จึงได้หันไปลงสมัคร ส.ว. แต่ก็ถูกเพิกถอนอีกครั้ง เนื่องจากยังลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. ไม่ครบ 1 ปี

จากนั้นชื่อเสียงของชูวิทย์ ก็ได้อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่อย ๆ และหลายสำนัก ทั้งลงข่าวสมัครผู้ว่า กทม. และข่าวชกนักข่าวหลังสัมภาษณ์เสร็จเพราะว่าถูกจี้ถามแต่ไม่เปิดโอกาสให้ตอบเลยไม่พอใจ ก่อนที่จะกลับมาลุยงานด้านการเมืองอย่างจริงจังในปี 2551 โดยการตั้งพรรค สู้เพื่อไทย และลงสมัครนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ได้ตำแหน่ง จึงรับบทฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

มีการยุบสภาและในปี 60 ทางชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ประกาศยุติบทบาททางการเมืองและในปัจจุบันชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หันหลังให้แวดวงการเมืองแต่ยังเคลื่อนไหวผ่านสื่อโซเชียลส่วนตัวอยู่บ่อยๆ