รอยยิ้มที่เปื้อนเหงา อีจันพาเยี่ยม ตา-ยาย ใน มูลนิธิวัยวัฒนานิวาส

รอยยิ้มที่เปื้อนเหงา จาก ตา-ยาย ใน มูลนิธิวัยวัฒนานิวาส ที่ต่างคนต่างมีความจำเป็น ทำให้ต้องมาอยู่ที่นี่ แม้จะอยากอยู่กับครอบครัวขนาดไหน

เคยคิดมั้ย บั้นปลายชีวิตเราจะเป็นยังไง?

ทีมข่าวอีจันได้มีโอกาสเดินทางไปที่มูลนิธิวัยวัฒนานิวาส สถานสงเคราะห์คนชรา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นบ้านพักพิงหลังสุดท้ายของใครหลายๆคน

พี่จิ๋ม ชญาดา ผู้จัดการของสถานสงเคราะห์แห่งนี้ เล่าให้เราฟังว่า สถานสงเคราะห์แห่งนี้ เกิดมาจากแนวคิดของคุณซิ่ว แซ่ตั้ง ผู้ล่วงลับ ซึ่งอยากจะช่วยเหลือผู้สูงอายุที่เดือดร้อน ไม่มีที่พักพิง ไม่มีญาติ ไม่มีที่อยู่ ตั้งแต่เริ่มสร้างก็ดูแลคนชราทีละราวๆ 4-500 คน แต่ตอนนี้พยายามดูแลเท่าที่ไหว ทำให้เหลือคนชราที่ดูแลอยู่ ราวๆ 65 คน แบ่งเป็น ชาย 50 คน หญิง 15 คน อายุมากที่สุดในบ้านหลังนี้ คือคุณย่าคนหนึ่ง อายุ 92 ปี

พี่จิ๋มเล่าว่า ส่วนใหญ่แล้ว คนที่มาอยู่ในบ้านพักพิงนี้ จะมาจากการที่โรงพยาบาลส่งตัวมา เพราะไม่มีลูกหลานมารับกลับ หลายๆคนเล่าให้พี่จิ๋มฟังว่า มีปัญหากับครอบครัว แต่ละคนเส้นเรื่องก็จะต่างกันไป แต่ทั้งหมดมีสิ่งที่เหมือนกันคือ ไม่สามารถอยู่ร่วมกับที่บ้านได้ ไม่ว่าจะบ้านตัวเองหรือบ้านของลูกเขย, ลูกสะใภ้ ทำให้ต้องตัดสินใจแยกตัวออกมา บางคนเจ็บป่วยเรื้อรัง จนลูกหลานก็หมางเมินกันไป ทางโรงพยาบาลก็จะส่งตัวต่อมาที่สถานสงเคราะห์แห่งนี้ เพื่อให้ช่วยดูแลในบั้นปลายชีวิต

“เค้าอยากอยู่กับครอบครัว แต่ครอบครัวไม่ต้องการเค้า” คำนี้พี่จิ๋มบอกกับอีจัน ทำให้เราอึ้งกันไปชั่วขณะหนึ่ง แต่พี่จิ๋มก็บอกว่า แต่ละครอบครัวก็มีเหตุผลในการเลือกทางเดินนี้ต่างกันไป ซึ่งก็ไม่ได้โทษว่าใครถูกหรือใครผิด ตอนนี้ทุกคนเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว หน้าที่ของพี่จิ๋มคือการดูแลทุกคนให้ดีที่สุด

ที่นี่มีอาหารให้คนชราทุกคนได้กิน 3 มื้อ มีกิจกรรมให้ทำทั้งวัน ทั้งการปลูกผัก งานประดิษฐ์ ที่ออกกำลังกาย สวดมนต์ทั้งเช้า-เย็น ใครป่วยก็มียาเบื้องต้นให้ มีคนช่วยพาไปหาหมอ มีเสื้อผ้าให้ใส่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีเพื่อนที่เรียกได้ว่า หัวอกเดียวกัน อยู่รอบตัว มีความอบอุ่นที่บางคนอาจจะไม่ได้รับมานานแล้ว ทั้งพี่จิ๋ม ทั้งเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ในสถานสงเคราะห์นี้ ต่างพยายามเต็มที่ในการมอบความอบอุ่นให้กับคนชราทุกคน เปรียบเสมือนการดูแลญาติผู้ใหญ่ของตัวเอง

อีจันได้คุยกับคุณลุงเล็ก หนึ่งในผู้สูงอายุที่มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เพราะไม่มีบ้านให้กลับ ลุงเล็กเล่าว่า ลุงเคยมีครอบครัวที่ดี มีลูกสาว 1 คน แต่ด้วยความไม่พอของตัวลุงเอง ทำให้ลุงไปมีบ้านน้อย และทิ้งครอบครัวเดิม ออกไปมีครอบครัวใหม่ ตั้งแต่ลูกสาวยังไม่โต จนแล้วจนรอด เมื่อลุงเริ่มล้มป่วย และทำงานต่อไม่ได้ เมียใหม่ของลุงก็ไล่ลุงออกจากบ้าน กลายเป็นคนป่วยอัมพฤกษ์ที่ไร้ที่อยู่ ต้องเร่ร่อนจนมาจบที่บ้านหลังนี้ ที่นี่คุณลุงมีเพื่อน มีคนดูแล มีที่ซุกหัวนอน มีอาหารกิน แต่สิ่งเดียวที่คุณลุงต้องการ คืออยากเจอหน้าลูก ลลนา ของแกสักครั้ง ลุงไม่ได้ต้องการให้ลูกมาดูแล แค่ต้องการเจอหน้าลูก และอยากกล่าวคำขอโทษ ที่เคยทิ้งลูกไป

นอกจากลุงเล็กแล้ว อีจันยังได้พบกับ ลุงใบ้ คนที่พี่จิ๋มบอกว่า แกเป็นใบ้ หูหนวก ตาบอด มีเพียงเอกสารติดตัวจากโรงพยาบาลมาแค่ 2 ใบ ไม่มีชื่อ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีเบาะแสอะไรให้ตามหาญาติได้เลย แกมาอยู่ที่นี่นานกว่า 10 ปีแล้ว ไม่สามารถออกไปไหนได้ และแกไม่เอาใครเลย นอกจาก ลุงใช้ เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่มาเจอกันที่นี่ น่าแปลกที่มิตรภาพของทั้งสองคน เกิดขึ้นแม้อีกฝ่ายจะไม่สามารถสื่อสารอะไรได้ มีเพียงการสัมผัสที่เป็นตัวกลางของทั้งสองคน

พี่จิ๋มเล่าว่า หลายๆคนที่มาที่นี่ มีหมด ตั้งแต่คนจน ไปยันคนรวย เคยมีแม้กระทั่งหม่อมราชวงศ์มาอยู่ที่นี่ ในช่วงบั้นปลาย เพราะล้มเหลวในทางธุรกิจ โดนโกง จนเข้าบ้านตัวเองไม่ได้ เคยมีกระทั่งเศรษฐี ที่ถูกลูกเมียโกงเงินจนสิ้นประดาตัว ต้องมาอาศัยใบบุญอยู่ที่นี่ วันแรกๆ ทุกคนจะคล้ายกัน ร้องไห้อยากกลับบ้าน อยากเจอหน้าครอบครัว บางคนที่ครอบครัวพามาส่ง แรกๆก็มาเยี่ยมบ้าง ผ่านเวลาไปไม่นานก็หายกันไปหมด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะปรับตัวและยอมรับสภาพปัจจุบันกันได้เอง

อีกหนึ่งเรื่องที่นี่ฟังแล้วก็จุกอก ผู้สูงอายุที่มาอยู่ที่นี่ หลายๆคนก็จบชีวิตลงที่นี่ เป็นช่วงชีวิตสุดท้ายที่แสนโดดเดี่ยว ไม่มีลูกหลานมารับร่างไร้วิญญาณไปประกอบพิธี ก้ได้พี่จิ๋มนี่แหละ ที่จัดการงานศพให้ แต่ก็ทำได้ตามประสา คือตั้งสวดวันเดียว วันรุ่งขึ้นก็ฌาปนกิจ จากเอกสารที่พี่จิ๋มเอามาให้เราดูนั้น ก็พออนุมานได้ว่า มีคนที่สิ้นอายุขัยที่นี่มากกว่า 1,000 คน

นี่คือสัจธรรมชีวิตที่เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ไม่ว่าคนเราจะมีอะไรในชีวิตมากแค่ไหน จงจำไว้ว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ การใช้ชีวิตอย่างประมาท วันหนึ่งอาจจะพาให้คุณมาจบลงที่บ้านสงเคราะห์คนชราแบบนี้ก็ได้