ไวรัสมาร์บวร์ก คืออะไร? รวมคำถามยอดฮิตไว้แล้วที่นี่

ใครสงสัยว่าไวรัสมาร์บวร์ก คืออะไร? มารวมกันตรงนี้ เรารวมคำถามยอดฮิตมาให้อ่านกันแล้วจ้า

จากที่กระทรวงสาธารณสุขได้สั่งจับตา ไวรัสมาร์บวร์ก ที่กำลังระบาดอย่างหนัก ในประเทศอิเควทอเรียลกินี ทวีปแอฟริกา เพราะโรคนี้มีความอันตรายสูง เนื่องจากไม่มีวัคซีน – ยาในการรักษา

สธ.จับตา ไวรัสมาร์บวร์กระบาด อันตราย-ยังไม่มีวัคซีน

วันนี้ (22 ก.พ. 66) อีจันจะพาไปดูว่า คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ ไวรัสมาร์บวร์ก มีอะไรบ้าง ซึ่งอีจันได้รวบรวมมาจาก ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ทั้งหมด 22 ข้อที่คนอยากรู้มากที่สุด มาให้ทุกคนได้อ่านกันจ้า

Q&A ข้อที่ 1

Q : ไวรัสมาร์บวร์กเป็นไวรัสประเภทใด อันตรายแต่ไหน ควรกังวลหรือไม่?

A :  ไวรัสมาร์บวร์กเป็นอาร์เอ็นเอไวรัสรูปร่างเป็นแท่งสายยาวคล้ายถั่วงอก มีจีโนมขนาด 19,000 bp ประกอบด้วย 7 ยีนสำคัญ  3′-UTR-NP-VP35-VP40-GP1-GP2-VP30-VP24-L-5′-UTR  มีขนาดเล็กกว่าไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งเป็นทรงกลมคล้ายผลทุเรียน มีจีโนมขนาด 30,000 bp ประกอบด้วย 13-15 ยีน มีการติดเชื้อได้ง่ายจากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ แต่โคโรนา 2019 แพร่เชื้อได้ดีกว่าเพราะสามารถแพร่ติดต่อทางอากาศได้ ไวรัสมาร์บวร์กมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 88% อยู่ในตระกูล “ฟิโลวิริแด (Filoviridae)” เช่นเดียวกับไวรัสอีโบลาที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี ไวรัสมาร์บวร์กทำให้เกิดไข้เลือดออกรุนแรงในมนุษย์และลิงหลายประเภท เป็นโรคที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิต

– ไวรัสมาร์บวร์กมีระยะฟักตัว 2-12 วัน หากติดเชื้อในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดอุปกรณ์ในการรักษา อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึง 90% หากมีการติดเชื้อรุนแรงมักเสียชีวิตวันที่ 8 หรือวันที่ 9 หลังจากมีอาการ เนื่องจากการเสียเลือดและตกเลือดภายในอย่างรุนแรง อวัยวะหลายส่วนเกิดการทำงานล้มเหลว

– สามารถแสดงอาการอย่าง “ฉับพลัน” เริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น ไม่สบายตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและเป็นตะคริว โดยอาจรวมถึงดีซ่าน คลื่นไส้ ปวดท้อง และท้องเสีย

– จากนั้นอาจพบผื่นที่ไม่มีอาการปรากฏบริเวณหน้าอก หลัง หรือท้องในวันที่ 5

– การวินิจฉัยโรคมาร์บวร์กในระยะแรกจากอาการ “เป็นเรื่องยาก” เนื่องจากมีอาการหลายอย่างคล้ายกับโรคติดเชื้อประเภทอื่น เช่น มาลาเรีย ไข้ไทฟอยด์ และอีโบลา ปัจจุบันสามารถตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติยืนยันการติดเชื้อได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วด้วยเทคนิค RT-PCR

– ยังไม่มีวัคซีนหรือยาต้านไวรัสที่ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กเป็นการเฉพาะ ดังนั้นเมื่อพบผู้ติดเชื้อจึงต้องรีบแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชน เช่นแยกไปรักษาที่เต้นสนามเพื่อมิให้แพร่เชื้อต่อผู้อื่น การรักษาเป็นแบบประคับประคองตามอาการอันสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้ เช่น การให้น้ำกลับคืนด้วยสารน้ำทางปากหรือทางหลอดเลือดดำ การรักษาระดับออกซิเจน การใช้ยาบำบัดตามอาการที่เกิดขึ้น

– องค์การอนามัยโลกบรรยายลักษณะการติดเชื้อที่รุนแรงหลังวันที่ 5 ของผู้ป่วยติดเชื้อมีลักษณะคล้ายผี (Ghost-like) ด้วยลักษณะดวงตากลวงลึก(เนื่องจากเสียน้ำ) ใบหน้าซีด (เนื่องจากเสียเลือด) ไร้ความรู้สึก มีอาการหมดเรี่ยวแรงและง่วงนอนตลอดเวลา

Q&A ข้อที่ 2

Q : ไวรัสมาร์บวร์กพบครั้งแรกเมื่อไร?

A : ไวรัสถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2510 หรือเมื่อ 56 ปีมาแล้ว โดยเกิดการระบาดในหมู่พนักงานห้องแล็บชีวภาพในเมืองมาร์บวร์ก ประเทศเยอรมัน โดยมีการติดเชื้อไวรัสจากลิงเขียวแอฟริกัน (African green monkey) ซึ่งนำเข้ามาจากยูกันดา ซึ่งเชื่อว่าไวรัสมาร์บวร์กอุบัติขึ้นและแพร่ระบาดในลิงมานานแล้วตามธรรมชาติ

Q&A ข้อที่ 3

Q : ไวรัสมาร์บวร์กเป็นดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอไวรัส?

A : ไวรัสมาร์บวร์กเป็นไวรัสอาร์เอ็นเอสายเนกาทีฟ มีแนวโน้มที่จะมีอัตราการกลายพันธุ์ที่สูงกว่าดีเอ็นเอไวรัสเนื่องจากเอนไซม์ของไวรัสมาร์บวร์กควบคุมการสร้างสายจีโนมของไวรัสรุ่นลูกและรุ่นหลานหละหลวม การมีอัตราการกลายพันธุ์สูงส่งผลให้เกิดไวรัสกลายพันธุ์เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่เมื่อเวลาผ่านไป

อัตราการกลายพันธุ์ที่สูงขึ้นนี้อาจทำให้การพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพอยากลำบากเนื่องจากพัฒนาและผลิตวัคซีนตามการกลายพันธุ์ของไวรัสไม่ทัน

ไวรัสมาร์บวร์กในฐานะที่เป็นอาร์เอ็นเอไวรัสจะมีอัตราการกลายพันธุ์ที่สูงกว่าดีเอ็นเอไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสเริมหรือไวรัสฮิวแมนแพปิโลมาที่ติดต่อในมนุษย์ อย่างไรก็ตามไม่สามารถเปรียบเทียบอัตราการกลายพันธุ์ระหว่างไวรัสมาร์บวร์กกับไวรัสโคโรนา 2019 ได้โดยตรง เนื่องจากเป็นไวรัสที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน

Q&A ข้อที่ 4

Q : ไวรัสมาร์บวร์กแพร่ติดต่ออย่างไร?

A : ไวรัสติดต่อสู่มนุษย์ผ่านการสัมผัสกับของเหลวในร่างกายของสัตว์เลือดอุ่นที่ติดเชื้อ เช่น ค้างคาว ลิง หมู ฯลฯ หรือระหว่างคนสู่คนจากการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ หรือของเหลวในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ ไวรัสยังสามารถติดต่อมาสู่คนผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่นถุงมือ หรือเครื่องนอน

Q&A ข้อที่ 5

Q : การรักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กดำเนินการอย่างไร?

A : ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยารักษาเป็นการเฉพาะ มีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อสูงถึง 88% การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคอง เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและการเปลี่ยนอิเล็กโทรไลต์ ตลอดจนการจัดการกับภาวะแทรกซ้อนใดๆที่เกิดขึ้น

Q&A ข้อที่ 6

Q : ป้องกันการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กอย่างไร?

A : หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ บุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องสัมผัสผู้ติดเชื้อต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลอย่างครบถ้วน เช่น ถุงมือ หน้ากาก แว่นตา และชุดคลุม อย่างรัดกุม

Q&A ข้อที่ 7

Q : นี่คืออาวุธชีวภาพหรือไม่?

A : เนื่องจากไวรัสมาร์บวร์กก่อให้เกิดการเสียชีวิตสูงในอัตราสูง และแพร่เชื้อจากคนสู่คนง่ายดายทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) จึงจัดให้ไวรัสมาร์บวร์กอยู่ในการควบคุมเพราะสามารถถูกใช้เป็นอาวุธชีวภาพได้ (bioterrorism agent) ถือเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่สำคัญ

Q&A ข้อที่ 8

Q : มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กหรือไม่?

A : ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในมนุษย์เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก อย่างไรก็ตามมีวัคซีนหลายประเภทที่อยู่ในช่วงการพัฒนาและทดสอบกับเซลล์ในห้องทดลองหรือในสัตว์  เช่นวัคซีนเชื้อตาย วัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ และวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) แม้ว่าวัคซีนเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่ก็ยังจำเป็นต้องผ่านการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้ในมนุษย์

Q&A ข้อที่ 9

Q : มียาต้านไวรัสมาร์บวร์กหรือไม่?

A : ปัจจุบันไม่มียาต้านไวรัสซึ่งได้รับการอนุมัติโดยเฉพาะสำหรับการรักษาการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก อย่างไรก็ตามมียาต้านไวรัสหลายตัวที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสมาร์บวร์กในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง

หนึ่งในยาต้านไวรัสที่อาจมาใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กคือยา “เรมเดซิเวียร์” ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของอาร์เอ็นเอไวรัส เช่นไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งไวรัสอีโบลาในการศึกษากับเซลล์ในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง

ยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ (favipiravir) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสได้หลายประเภท(broad spectrum) เช่นใช้รักษาไข้หวัดใหญ่และไวรัสโคโรนา 2019 ในบางประเทศ พบว่าฟาวิพิราเวียร์สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสมาร์บวร์กได้ในหลอดทดลองได้

นอกจากนี้โมโนโคลนอลแอนติบอดียังแสดงให้เห็นว่าเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก โมโนโคลนอลแอนติบอดีเป็นสารชีวโมเลกุลที่ผลิตขึ้นในห้องปฏิบัติการ เลียนแบบความสามารถของแอนติบอดีที่ระบบภูมิคุ้มกันสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับไวรัสตามธรรมชาติ โดยจะเข้าจับกับโปรตีนส่วนหนามของไวรัสอย่างเฉพาะเจาะจง โมโนโคลนอลแอนติบอดีหลายตัวได้รับการพัฒนาขึ้นต่อเป้าหมายสำคัญของไวรัสมาร์บวร์ก โดยแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งไวรัสเพิ่มจำนวนในเซลล์ในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง

Q&A ข้อที่ 10

Q : เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสมาร์บวร์กในงานศพเกิดได้อย่างไร?

A : ในอดีตมีการระบาดหลายครั้งของไวรัสมาร์บวร์กซึ่งเชื่อมโยงกับพิธีกรรมงานศพในแอฟริกา คาดว่าไวรัสนี้ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวในร่างกายของผู้เสียชีวิต อาทิ เลือด น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ และอุจจาระ ในระหว่างพิธีกรรมงานศพตามประเพณี ผู้ร่วมไว้อาลัยอาจสัมผัสใกล้ชิดกับร่างของผู้เสียชีวิต ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัส

Q&A ข้อที่ 11

Q : การถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสมาร์บวร์กทั้งจีโนมจะมีประโยชน์หรือไม่?

A : การถอดรหัสจีโนมทั้งหมดของไวรัสมาร์บวร์ก สามารถให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ได้แก่

– ช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงและใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการระบาดได้ทันต่อเหตุการณ์

– บ่งชี้ยีนและโปรตีนเป้าหมายที่เราควรพัฒนายาเข้ามายับยั้งเพื่อยุติการแพร่กระจายของไวรัสมาร์บวร์ก

– ให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับชีววิทยาของไวรัสและการมีปฏิสัมพันธ์กับโฮสต์(มนุษย์) ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาวิธีการรักษาและการป้องกันแบบใหม่

Q&A ข้อที่ 12

Q : การตรวจไวรัสมาร์บวร์กในแหล่งน้ำเสียมีประโยชน์อย่างไร?

A : การตรวจหาไวรัสมาร์บวร์ก จากน้ำเสียใกล้ชุมชนสามารถใช้เตือนล่วงหน้าถึงการระบาดหรือการปรากฏตัวของผู้ติดเชื้อภายในชุมชน แม้กระทั่งก่อนที่พวกเขาจะแสดงอาการหรือเจ็บป่วยต้องพบแพทย์และเข้ารักษาตัวใน ร.พ.

ในกรณีของไวรัสมาร์บวร์กมีการพิสูจน์แล้วว่าไวรัสสามารถปะปนออกมาในอุจจาระและปัสสาวะของผู้ติดเชื้อ โดยตรวจพบอนุภาคของไวรัสเหล่านี้ในตัวอย่างน้ำเสีย ตัวอย่างเหล่านี้จะถูกตรวจกรองด้วยวิธีการทางชีวโมเลกุล เช่น RT-PCR หรือ LAMP เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส รวมทั้งการถอดรหัสพันธุกรรมบางส่วนของจีโนมเพื่อบ่งชี้สายพันธุ์

Q&A ข้อที่ 13

Q : ไวรัสมาร์บวร์กสามารถแพร่ติดต่อทางอากาศ (airborne) ได้หรือไม่?

A : ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสมาร์บวร์ก สามารถแพร่ผ่านทางอากาศได้ ไวรัสมาร์บวร์ก ส่วนใหญ่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวในร่างกายของผู้ติดเชื้อ เช่น เลือด น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ และอุจจาระ ไวรัสสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวหรือวัตถุที่ปนเปื้อน เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์หรือเครื่องนอน

Q&A ข้อที่ 14

Q : ไวรัสมาร์บวร์กมีค่า R-naught เท่าไร?

A : R₀ (อ่านว่า “R-naught”) เป็นคำศัพท์ทางคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายจำนวนเฉลี่ยของคนที่จะติดโรคจากผู้ติดเชื้อ 1 คนในกลุ่มประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรค

ค่าที่แน่นอนของ R₀ สำหรับไวรัสมาร์บวร์ก ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของไวรัสค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตามคาดว่าค่า R₀ ของไวรัสมาร์บวร์ก น่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 1.5 – 3.5 ซึ่งหมายความว่าผู้ติดเชื้อแต่ละคนมีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นระหว่าง 1.5 ถึง 3.5 คนในกลุ่มประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน

Q&A ข้อที่ 15

Q : ใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียช่วยตรวจสอบการแพร่ระบาดของไวรัสได้หรือไม่?

A : โซเชียลมีเดียอาจเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการติดตามและตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อ รวมถึงไวรัสมาร์บวร์ก บุคคลมักจะใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับสถานะสุขภาพและอาการใดๆ ที่พวกเขากำลังประสบอยู่ หน่วยงานด้านสาธารณสุขสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อตรวจหาการระบาดที่อาจเกิดขึ้นและเพื่อเป็นแนวทางในการตอบสนอง

ตัวอย่างการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเช่น Twitter และ Facebook ในอดีตเพื่อติดตามการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อ เช่น ไวรัสซิกาและไวรัสอีโบลา นักวิจัยได้ใช้ข้อมูลโซเชียลมีเดียเพื่อติดตามการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ของไวรัส เพื่อระบุกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง และเพื่อตรวจหาการระบาดที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะแพร่ระบาด

Q&A ข้อที่ 16

Q : ทำไมไวรัสนี้จึงตั้งชื่อตามเมืองในเยอรมนี?

A : ไวรัสมาร์บวร์ก ได้รับการตั้งชื่อตามเมืองมาร์บวร์ก ในเยอรมนี เนื่องจากพบการระบาดครั้งแรกในเมืองนี้เมื่อปี 2510 จากบรรดาเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่ดูแลลิงเขียวจากแอฟริกันจำนวน 31 ราย และ 7 รายในจำนวนนี้เสียชีวิต โดยมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 23% เช่นเดียวกับไวรัสอีโบลาได้รับการตั้งชื่อตามแม่น้ำอีโบลาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งเป็นที่ที่พบไวรัสเป็นครั้งแรก ในทำนองเดียวกันไวรัสซิกาได้รับการตั้งชื่อตามป่าซิกาในยูกันดา ซึ่งเป็นที่ที่แยกไวรัสได้เป็นครั้งแรก

Q&A ข้อที่ 17

Q : ทำไมการระบาดของไวรัสจากสัตว์มาสู่คน ส่วนใหญ่เกิดมาจากประเทศในแอฟริกา?

A : การระบาดของไวรัสสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของโลกและไม่เฉพาะเจาะจงในแอฟริกา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบางอย่างในแอฟริกาสามารถนำไปสู่การเกิดและการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อได้

– ปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนคือการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างมนุษย์และสัตว์ในหลายพื้นที่ของแอฟริกา ซึ่งสามารถเปิดโอกาสให้ไวรัสกระโดดจากสัตว์ที่เป็นโฮสต์หรือรังโรคมาสู่มนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ในพื้นที่เหล่านี้อาจนิยมบริโภคเนื้อสัตว์ป่าหรือสัมผัสกับเลือดหรือของเหลวจากสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น คนงานในเหมืองหรือถ้ำที่มีค้างคาว สัมผัสกับปัสสาวะ และอุจาระของค้างคาว

– หลายพื้นที่ของแอฟริกายังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการรักษาพยาบาลที่จำกัด ซึ่งทำให้ยากต่อการตรวจสอบ ป้องกันการระบาด อันส่งผลต่อการรักษาพยาบาลแก่ผู้ติดเชื้อ

– ความยากจน ภาวะทุพโภชนาการ และการปฏิบัติด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยที่ไม่เพียงพอ ซึ่งสามารถเพิ่มความสุ่มเสี่ยงอ่อนแอของประชากรต่อโรคติดเชื้อ

– แต่เป็นที่น่าสังเกตด้วยพลังของโซเชี่ยลมีเดียในปัจจุบันทำให้ทั่วโลกตระหนักว่าขณะนี้มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสจำนวนมากในแอฟริกา ทำให้หลายประเทศร่วมด้วยช่วยกันสนับสนุนแอฟริกาในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพและการใช้มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

Q&A ข้อที่ 18

Q : มีไวรัสกี่ประเภทที่แพร่ระบาดในสัตว์เลือดอุ่น?

A : เป็นการยากที่จะประเมินจำนวนไวรัสที่สามารถแพร่เชื้อในสัตว์เลือดอุ่นได้ เนื่องจากไวรัสชนิดใหม่ถูกค้นพบและจัดประเภทอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร “Nature” ในปี 2018 ประมาณว่ามีไวรัสอย่างน้อย 214 ตระกูลที่ติดเชื้อในสัตว์มีกระดูกสันหลัง โดยในแต่ละตระกูลของไวรัส อาจมีไวรัสหลายสายพันธุ์ที่สามารถแพร่เชื้อไปยังโฮสต์ที่แตกต่างกันได้ ตัวอย่างเช่น ไวรัสตระกูลโคโรนาสามารถแพร่เชื้อไปยังมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ได้ นอกจากนี้ ไวรัสบางชนิดสามารถกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วเกิดวิวัฒนาการเป็นสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งทำให้ยากต่อการประมาณจำนวนชนิดของไวรัสที่แน่นอน

Q&A ข้อที่ 19

Q : ไวรัสในสัตว์อะไรบ้างที่แพร่มาระบาดจากสัตว์มาสู่คน?

A : – ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (สัตว์ปีก สุกร และอื่นๆ)

– ไวรัสโคโรนา 2019 หรือ SARS-CoV-2  (ค้างคาว)

– ไวรัสอีโบลา (ค้างคาวผลไม้และลิง)

– เอชไอวี (ลิงโดยเฉพาะลิงชิมแปนซี)

– ไวรัสพิษสุนัขบ้า (สุนัข ค้างคาว และสัตว์อื่นๆ)

– ไวรัสเวสต์ไนล์ (ยุงและนก)

– ฮันตาไวรัส (สัตว์ฟันแทะ โดยเฉพาะหนู และ กวาง)

– ไวรัสไข้ลาสซา (หนูโดยเฉพาะหนู Mastomys)

– ไวรัสมาร์เบิร์ก (ค้างคาวผลไม้แอฟริกา)

– ไวรัสนิปาห์ (ค้างคาวและสุกร)

สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าแม้ว่าไวรัสเหล่านี้จะมีต้นกำเนิดจากสัตว์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั้งหมดจะแพร่เชื้อโดยสัตว์เท่านั้น บางชนิดสามารถติดต่อโดยตรงจากคนสู่คน หรือผ่านทางอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน

Q&A ข้อที่ 20

Q : รายชื่อวัคซีนได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันมนุษย์จากการติดเชื้อไวรัส?

A : รายชื่อวัคซีนที่ใช้บ่อยและเป็นที่รู้จักสำหรับป้องกันมนุษย์จากการติดเชื้อไวรัส

– วัคซีนป้องกันโควิด-19: Pfizer-BioNTech, Moderna, Johnson & Johnson, AstraZeneca, Sinovac, Sinopharm ฯลฯ

– วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่: มีหลายประเภทให้เลือก รวมทั้งวัคซีนไตรวาเลนต์และควอดริวาเลนต์ ซึ่งป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ

– วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี: วัคซีนนี้ป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคตับได้

– วัคซีนหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR): วัคซีนนี้ป้องกันโรคไวรัสสามชนิด ได้แก่ หัด คางทูม และหัดเยอรมัน

– วัคซีนฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส (เอชพีวี): วัคซีนนี้ป้องกันไวรัสเอชพีวีบางสายพันธุ์ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดมะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งปากมดลูก

– วัคซีน Varicella (โรคอีสุกอีใส): วัคซีนนี้ป้องกันไวรัส varicella-zoster ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด

– วัคซีนโรตาไวรัส: วัคซีนนี้ป้องกันโรตาไวรัสซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงรุนแรงในเด็กเล็ก

– วัคซีนโปลิโอ: วัคซีนนี้ป้องกันไวรัสโปลิโอซึ่งอาจทำให้เกิดอัมพาตได้

– วัคซีนไข้เหลือง: วัคซีนนี้ป้องกันไวรัสไข้เหลืองซึ่งติดต่อโดยยุงและอาจทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้

– วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า: วัคซีนนี้ป้องกันไวรัสพิษสุนัขบ้าซึ่งติดต่อจากสัตว์ที่ติดเชื้อและอาจถึงแก่ชีวิตได้หากไม่รักษาอย่างทันท่วงที

Q&A ข้อที่ 21

Q : รายชื่อยาต้านไวรัสที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันและรักษามนุษย์จากการติดเชื้อไวรัส?

A :  – เรมเดซิเวียร์ (Remdesivir): เดิมทีพัฒนาขึ้นเพื่อรักษาอีโบลา ยานี้ได้รับการอนุมัติสำหรับการรักษาโควิด-19

– ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir): เป็นยาต้านไวรัสที่ประเทศญี่ปุ่นใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ ทำงานโดยการยับยั้งการสร้างจีโนมของไวรัสลูกหลาน เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่และ SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโควิด-19 ฟาวิพิราเวียร์ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินสำหรับการรักษาโควิด-19 ในบางประเทศ

– โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) เป็นยาต้านไวรัสชนิดรับประทานที่กำลังพัฒนาสำหรับการรักษาโควิด-19   ทำงานโดยกรตุ่นให้เกิดข้อผิดพลาดในระดับจีโนมในรุ่นลูก รุ่นหลาน  RNA ซึ่งจะทำให้ติดเชื้อน้อยลง การศึกษาในระยะแรกแสดงให้เห็นว่าอาจมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการรักษาในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตในผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19    เล็กน้อยถึงปานกลาง

– แพกซ์โลวิด (Paxlovid) เป็นยา 2 ชนิดร่วมกัน ได้แก่ nirmatrelvir และ ritonavir ใช้รักษาโควิด-19 ทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไวรัสที่เรียกว่าโปรตีเอสหลัก ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างจีโนมไวรัสโคโรนา 2019 รุ่นลูก รุ่นหลาน พบมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการรักษาในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตในผู้ที่ติดเชื้อ อย่างมาก ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับการโควิด-19

โอเซลทามิเวียร์ (ทามิฟลู)/Oseltamivir (Tamiflu): ยานี้ใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ (ไข้หวัด) โดยป้องกันไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนในร่างกาย

– อะไซโคลเวียร์ โซวิแร็กซ์/Acyclovir (Zovirax): ยานี้ใช้รักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสเริม (HSV) และไวรัสงูสวัด varicella-zoster (VZV) ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด

– วาลาไซโคลเวียร์ (วาลเทร็กซ์)/Valacyclovir (Valtrex): ยานี้คล้ายกับ acyclovir และใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสเริม (HSV) และ ไวรัสสุกใส-งูสวัด (VZV)

– แกนซิโคลเวียร์ (ไซโตวีน)/Ganciclovir (Cytovene): ยานี้ใช้รักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจาก ไซโตเมกาโลไวรัส/cytomegalovirus (CMV) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการป่วยร้ายแรงในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

– ไรบาวิริน/Ribavirin: ยานี้ใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบซีและไวรัสทางเดินหายใจบางชนิด เช่น ไวรัสทางเดินหายใจอาร์เอสวี (RSV)

– ซิโดวูดีน/Zidovudine (AZT): ยานี้ใช้รักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งอาจนำไปสู่โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS)

– โซฟอสบูเวียร์/Sofosbuvir: ยานี้ใช้รักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบซี

– อินเตอร์เฟอรอน/Interferons: ยาเหล่านี้เป็นกลุ่มของโปรตีนที่สามารถใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสได้หลายชนิด รวมถึงไวรัสตับอักเสบบีและซี เอชไอวี และมะเร็งบางชนิด

Q&A ข้อที่ 22

Q : จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กและเสียชีวิตระหว่าง พ.ศ. 2510-2566?

A : พ.ศ. 2510 เยอรมนีและยูโกสลาเวีย ติดเชื้อ 31 ราย เสียชีวิต 7 ราย (23%) ในกลุ่มคนงานในห้องปฏิบัติการที่จัดการกับลิงเขียวแอฟริกันที่นำเข้ามาจากยูกันดา

พ.ศ. 2518 โจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ ซิมบับเว ติดเชื้อ 3 เสียชีวิต 1 (33%)

พ.ศ. 2523 เคนยา ติดเชื้อ 2 รายเสียชีวิต 1 ราย(50%) เข้าชมถ้ำ Kitum ในอุทยานแห่งชาติ Mount Elgon ของเคนยา

พ.ศ. 2530 เคนยา ติดเชื้อ 1 รายเสียชีวิต  1 ราย(100%) เข้าชมถ้ำ Kitum ในอุทยานแห่งชาติ Mount Elgon ของเคนยา

พ.ศ. 2533 รัสเซีย ติดเชื้อ 1 ราย เสียชีวิต  1 ราย(100%) การปนเปื้อนในห้องปฏิบัติการ

พ.ศ. 2541-2543 สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ติดเชื้อ 154 ราย เสียชีวิต 128 ราย (83%) คนงานในเหมืองทองใน Durba

พ.ศ. 2547-2548 แองโกลา ติดเชื้อ 252 ราย เสียชีวิต 227 ราย (90%)

พ.ศ. 2550 ยูกันดา ติดเชื้อ 4 ราย  ตาย 1 ราย (25%) ทำงานในเหมืองตะกั่วและทองคำ

2551 ติดเชื้อจากถ้ำ Maramagambo ในยูกันดา ติดเชื้อ 1 รายแต่ไม่เสียชีวิต 

2551 ติดเชื้อจากถ้ำ Maramagambo ในยูกันดา ติดเชื้อ1 ราย  เสียชีวิต 1 ราย  (100%)

พ.ศ. 2555 ยูกันดา ติดเชื้อ 15 ราย เสียชีวิต  4 ราย (27%) ในเขต Kabale, Ibanda, Mbarara และ Kampala

พ.ศ. 2557 ยูกันดา มีผู้ป่วยยืนยัน 1 ราย (เสียชีวิต)

พ.ศ. 2017 ยูกันดา ติดเชื้อ 4 ราย เสียชีวิต 3 ราย (75%)

พ.ศ. 2564 Guinea Guéckédou ติดเชื้อ 1 ราย ตาย 1 ราย (100%) มี

พ.ศ. 2565 กานา ติดเชื้อ 3 รายเสียชีวิต 2 ราย

พ.ศ. 2566  อิเควทอเรียลกินี ติดเชื้อ 16 รายเสียชีวิต 9 ราย

ไวรัสมาร์บวร์ก ยังอันตรายมาก เพราะไม่มีวัคซีนและยารักษา แม้ตอนนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศไทย แต่ก็สังเกตตัวเองด้วยนะคะ

คลิปอีจันแนะนำ
สลดหัวใจ จากคดีเด็กหาย สู่ คดีค้าประเวณี