![](https://files.ejan.co/wp-content/uploads/2022/10/344097-6b179ah4okos-768x402.jpg)
น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร? ควรเติมแบบไหนดี?สิ่งสำคัญที่ใช้ในการขับเคลื่อน โดยเกิดจากการเผาไหม้ในห้องเครื่องยนต์ ซึ่งประเทศไทยมีน้ำมันเชื้อเพลิงให้เลือกเติมหลากหลาย แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ เบนซิน และดีเซล ซึ่งราคาก็แตกต่างกันไป แล้วน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร? และน้ำมันแบบใดที่เหมาะที่สุดสำหรับรถของเรา
น้ำมันเบนซิน
เป็นเชื้อเพลิงที่กลั่นออกมาจากน้ำมันดิบ และนำมาปรับปรุงคุณภาพ เรียกว่า ออกเทน ซึ่งความเข้มข้น ของค่าออกเทนนั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานแต่ละประเภท เช่น เครื่องบิน, รถยนต์ เป็นต้น ส่วนใหญ่ที่เราเห็นกันบ่อยๆ จะเป็นตัว เบนซินออกเทน 95 หรือเรียกง่ายๆว่า เบนซิน 95 ที่มีความเข้มข้นสูงสุดที่ใช้กันในรถยนต์บ้านเรา
![](https://files.ejan.co/wp-content/uploads/2023/12/660x400_2x.jpg)
เบนซิน 95 หรือเรียกง่ายๆว่า เบนซิน 95 เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีความเสถียรที่สุด และมีราคาสูง สามารถใช้ได้กับรถยนต์แทบทุกประเภท มีค่าออกเทนสูงอยู่ที่ 95% ทำให้การเผาไหม้ของเครื่องยนต์สมบูรณ์และสะอาด การตอบสนองในการขับขี่เต็มประสิทธิภาพ
เบนซิน 91 เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีค่าออกเทนอยู่ที่ 91% มีอัตราการเร่ง และการตอบสนอง ต่ำกว่าเบนซินออกเทน 95 เล็กน้อย ปัจจุบันภาครัฐ ทำการยกเลิกการขายน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดนี้ไปแล้ว
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ คือ?
แก๊สโซฮอล์คือการรมตัวกันของ “น้ำมันเบนซิน(Gasoline)” และ “แอลกอฮอล์(Alcohol)” กลายเป็น Gasohol เริ่มจากแนวคิด การหาสิ่งทดแทนพลังงานของน้ำมันกับการแก้ปัญหาราคาตกต่ำของพืชผัก โดยใช้แอลกอฮอล์ที่สกัดจากพืช เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพด ข้าว และอ้อย ที่เรียกว่า เอทานอล หรือ เอทิลแอลกอฮอล์ มาผสมผสานกับน้ำมันเบนซิน จนกลายมาเป็นพลังงานทดแทน แก๊สโซฮอล์ (Gasohol) ในปัจจุบัน จะสังเกตเห็นได้ว่า มีตัว E และตามด้วยตัวเลข นั้นก็คือ จำนวนเปอร์เซ็น ที่มีเอทานอลผสมอยู่นั่นเอง
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95(E10) เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่มของแก๊สโซลีน ที่ถูกผลิตมาให้ใช้แทน เบนซินออกเทน 95 โดยมีส่วนผสมของ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 : 9 ส่วน และเอทานอล (เอทิลแอลกอฮอล์)ที่มีความบริสุทธิ์ 99.5% : 1 ส่วน ทำให้แก๊สโซฮอล์ที่ออกมามีออกเทนเทียบเท่ากับ เบนซิน 95 ส่วนใหญ่ในปั้มน้ำมัน จะมีให้บริการมากกว่าน้ำมันที่เป็นออกเทน 95
น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91(E10) เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของ น้ำมันเบนซินออกเทน 91: 9 ส่วน ผสมกับเอทานอล ที่มีความบริสุทธิ์ 99.5% : 1 ส่วน มีข้อดีคือ ราคาถูก และเป็นที่นิยมอย่างมาก ไม่มีผลกระทบต่อสมรรถนะเครื่องยนต์ และอัตราการเร่งไม่แตกต่างจากน้ำมันเบนซินออกเทน 91 มากนัก
น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ E20 เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 : 80% ผสมกับเอทานอล 20% มีราคาถูก ประสิทธิภาพการใช้งาน อัตราในการเร่งจะด้อยกว่าแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก
น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ E85 เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 : 15% ผสมกับเอทานอล 85% เป็นน้ำมันที่มีราคาถูกที่สุด เพราะมีปริมาณส่วนผสมของน้ำมันเบนซินออกเทนที่ค่อนข้างน้อย มีการระเหยสูง เพราะมีส่วนผสมของแอลกอฮอลมาก หากมีการขับขี่ในระยะทางไกลๆ เป็นระยะเวลานาน จะสังเกตได้ถึงการเผาไหม้ที่ไวกว่าน้ำมันชนิดอื่น เเม้จะมีราคาถูก แต่ก็ต้องเติมน้ำมันบ่อยกว่าชนิดอื่นๆ และสมรรถนะในการขับขี่ ไม่เทียบเท่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินแบบธรรมดา น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ E85 ต้องใช้กับรถยนต์ FFV (Flexible Fuel Vehicle) เท่านั้น หากรถของคุณไม่ได้ระบุว่าสามารถเติมน้ำมันแก็สโซฮอล์E85 ก็ห้ามเติมโดยเด็ดขาด เพราะจะส่งผลให้เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น สะดุด และสตาร์ทติดยาก
น้ำมันดีเซล คือ?
เป็นส่วนหนึ่งของน้ำมันดิบที่ได้จากโรงกลั่นน้ำมัน (เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซิน) ซึ่งเป็นน้ำมันที่เรียกว่า น้ำมันใส หรือ Distillate Fuel มีจุดเดือดสูง อยู่ที่ประมาณ 180-370 องศาเซลเซียส เครื่องยนต์ดีเซลเป็นเครื่องยนต์ที่มีแรงอัดสูง (High Compression) และสามารถจุดระเบิดได้เอง การจุดระเบิดของเชื้อเพลิงชนิดนี้เกิดขึ้นมาจากความร้อนของแรงอัดสูงของอากาศในกระบอกสูบ โดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้หัวเทียน น้ำมันเชื้อเพลิงดีเซล จะมีสูตรที่ตายตัว แต่ในปั้มน้ำมันบางแห่ง จะมีน้ำมันดีเซลตัวพิเศษ ซึ่งเรียกว่า ดีเซลเกรดพรีเมียม ซึ่งจะมีราคาสูง แต่ส่งผลดีกับเครื่องยนต์มากกว่าน้ำมันดีเซลเกรดปกติ
น้ำมันดีเซล เกรดพรีเมี่ยม น้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม ของแต่ละแบรนด์ จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำมันตัวพิเศษ ที่มีราคาสูงกว่าแบบปกติ ข้อดีคือ มีการเผาไหม้ที่หมดจด ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มที่ ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกภายในเครื่องยนต์ได้
น้ำมันแบบไหนถึงเหมาะกับรถยนต์ของเรา?
แล้วทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจริง ๆ แล้วรถยนต์ของเรานั้นเหมาะกับน้ำมันประเภทไหน แล้วควรที่จะเลือกเติมอย่างไรไม่ให้รถยนต์ของเราพัง ซึ่งวิธีง่าย ๆ และเป็นวิธีเดียวเลยที่เราจะรู้ก็คือการดูสติ๊กเกอร์อยู่ใต้ฝาถังน้ำมัน ซึ่งบนสติ๊กเกอร์นั้นจะมีข้อมูลระบุไว้
![](https://files.ejan.co/wp-content/uploads/2023/12/what_e_is_for_you_2.jpg)
1. สติ๊กเกอร์ระบุว่า E0-E85
หากเปิดฝาเติมน้ำมันมาแล้วพบว่ามีสติ๊กเกอร์ที่เขียนแบบนี้แสดงว่ารถยนต์ของคุณนั้นสามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 หรือออกเทน 91 ขึ้นไป หากไม่มีสติ๊กเกอร์ที่ระบุว่า E85 ห้ามเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เด็ดขาดเนื่องจากเป็นน้ำมันชนิดพิเศษที่ต้องปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถเผาไหม้น้ำมันชนิดนี้ได้
2. สติ๊กเกอร์ระบุว่า 91-E20
สติ๊กเกอร์นี้หมายถึงรถยนต์ที่สามารถเติมน้ำมันได้ตั้งแต่ น้ำมันที่มีค่าออกเทน 91 ไปจนถึง แก๊สโซฮอล์ E20 ได้นั้นเอง เช่นเดียวกันกับกรณี E85 หากไม่มีสติ๊กเกอร์ที่ระบุเอาไว้ว่าสามารถเติม E20 ได้ ห้ามเติมน้ำมันชนิดนี้อย่างเด็ดขาด ต้องนำรถยนต์ไปปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถเผาไหม้ได้เสียก่อน
3. สติ๊กเกอร์ระบุชนิดน้ำมันแต่ละชนิดเลย
เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด เมื่อเปิดมาแล้วพบน้ำมันชนิดใด ก็เลือกเติมน้ำมันชนิดนั้นได้เลย ซึ่งจะมีประเภทของน้ำมันแยกมาให้ตามที่ได้บอกข้อมูลไปแล้วในข้างต้น ทีนี้ก็จะสามารถเลือกเติมน้ำมันที่ดีที่สุดและปลอดภัยต่อรถยนต์ของคุณแล้ว
![](https://files.ejan.co/wp-content/uploads/2023/12/1_8_3.jpg)
เทคนิคเติมน้ำมันให้คุ้มค่าที่สุด
การเติมน้ำมันที่จะให้รถยนต์ดึงน้ำมันออกมาใช้ได้อย่างคุ้มค่าและประหยัดที่สุด โดยมีวิธีง่าย ๆ ทั้ง 3 เทคนิค ดังนี้
1. เติมน้ำมันก่อนที่จะหมดถัง
การที่เรานั้นควรเติมน้ำมันก่อนที่จะหมดนั้น หากลองสังเกตเวลาเราขับรถยนต์หลังจากที่เราเติมน้ำมันเสร็จใหม่ ๆ น้ำมันรถของเราจะหมดลงช้ามาก แต่เมื่อเลยครึ่งถึงไปแล้วกลับลดลงเร็วกว่าเดิม นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อมีพื้นที่ว่างของถังน้ำมันเป็นจำนวนมากแล้ว จะทำให้น้ำมันที่เหลืออยู่นั้นระเหยได้ง่ายและเร็วขึ้น เมื่อพบว่าน้ำมันของเราเหลือ 1 ใน 4 ของถังแล้วให้รีบเติม
2. เติมน้ำมันช่วงเวลากลางคืน
เทคนิคนี้ก็เป็นในเรื่องของกฎการระเหยของน้ำมันอีกเช่นเดิม หากเติมน้ำมันในเวลากลางวันนั้น ด้วยความที่อากาศมีอุณหภูมิค่อนข้างสูงทำให้ระหว่างที่เติมน้ำมันไปนั้น มีโอกาสที่น้ำมันจะระเหยได้ง่าย การเติมน้ำมันในช่วงเวลากลางคืนจึงช่วงลดปัญหานี้ลงไปได้นั่นเอง
3. กดปุ่ม ECO ที่มีอยู่ในรถยนต์
ปัจจุบันรถยนต์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคันเล็ก หรือว่าจะเป็นคันใหญ่ก็ตาม มักจะมีฟังก์ชันให้ผู้ขับขี่นั้นสามารถประหยัดน้ำมันในการขับขี่ลงไปได้ โดยต้องแลกกับความเร็วและอัตราเร่งของรถยนต์ที่ลดลงในการที่ประหยัดน้ำมัน จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการประหยัดน้ำมันได้
รู้แบบนี้แล้วต่อไป ไม่ว่าจะมือใหม่แค่ไหน ก็หายห่วงได้เลย นอกจากนี้น้ำมันนั้นเป็นอะไรที่ระเหยได้ค่อนข้างง่าย อุณหภูมิจึงเป็นเรื่องสำคัญเอาอย่างมากในระหว่างการเติม รวมไปถึงรูปแบบการขับขี่ก็เป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้เช่นเดียวกัน
ขอบคุณ ข้อมูล Tanapon Ketprakop Kaidee Auto , thairunggroup , กระทรวงพลังงาน