
จากเหตุการณ์รถพุ่งชน 3 คัน จนเกิดเพลิงไหม้พังเสียหาย บริเวณใกล้เคียงซอยบรมราชชนนี 76 ถนนบรมราชชนนี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา ฝั่งขาเข้า กรุงเทพฯ ล่าสุดมีความคืบหน้าทางคดี

(23 เม.ย. 68) พ.ต.อ.บุญโรจน์ โลจายะ ผกก.สน.ธรรมศาลา เปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ภายหลังพนักงานสอบสวนร้อยเวรได้รับแจ้งเหตุเมื่อช่วงประมาณ 02:00 น. จึงได้รีบเดินทางไปที่เกิดเหตุทันที โดยเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ จึงพบสภาพรถยนต์ทั้ง 3 คัน ได้แก่ รถเฟอร์รารี่ รถเบนซ์ และรถกระบะ ต่างได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะรถเฟอร์รารี่ และรถเบนซ์ ที่ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายพังทั้งคัน ทางเจ้าหน้าที่จึงเร่งดับเพลิงและเคลียร์ซากรถทั้ง 3 คันออก เพื่อเปิดช่องทางการจราจร
ทั้งนี้ พบคนขับรถกระบะอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ ร้อยเวรจึงได้สอบปากคำเบื้องต้น โดยเล่าว่า ขณะที่คนขับรถกระบะมุ่งหน้าจากถนนพุทธมณฑลสาย 4 เพื่อมุ่งหน้าไปยังถนนพุทธมณฑลสาย 3 ระหว่างทางคนขับกระบะวิ่งอยู่บนช่องทางด่วนของถนน ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกชนท้ายจนรถกระบะเสียหลักชนข้างทาง จนได้รับความเสียหาย เมื่อคนขับรถกระบะลงมาดูก็เห็นว่า มีรถเฟอร์รารี่และรถเบนซ์ ได้รับความเสียหายอยู่บริเวณด้านหลังพร้อมเกิดเพลิงไหม้ ซึ่งคนขับรถกระบะก็ไม่ทราบว่ารถคันไหนมาชนท้ายรถตน
สำหรับแนวทางด้านคดี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะติดตามนำคู่กรณีทั้ง 3 คนมาสอบปากคำ รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานจากพยานแวดล้อมในที่เกิดเหตุ ภาพวงจรปิด รวมทั้งพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อมาสรุปสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้

ต่อมาเวลา 14.30 น. นายกมล ศิลาทอง อายุ 55 ปี พร้อม “เฟียส” บุตรชาย วัย 22 ปี ผู้ขับขี่รถเฟอร์รารี่ เดินทางเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สน. ธรรมศาลา หลังจากเสร็จสิ้นการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล
นายกมล กล่าวว่า ตนทราบเรื่องดังกล่าวจากลูกชายว่า เมื่อเวลาตี 2 ขณะเกิดเหตุ ลูกชายกำลังขับรถกลับบ้านพัก ย่านพุทธมณฑลสาย 2 หลังจากไปส่งแฟนที่บ้าน ขณะขับอยู่ในเลนขวาสุด ได้มีรถกระบะขับมาปาดหน้า ทำให้เกิดการเฉี่ยวชนท้ายรถกระบะ จนรถกระบะหมุนไปฟาดกับรถเบนซ์ที่ขับตามหลังมา จากนั้น รถของลูกชายก็ไปชนกับรถเบนซ์อีกครั้ง จนเป็นเหตุให้รถเกิดไฟลุกไหม้ ก่อนที่ลูกชายและคนขับรถเบนซ์จะหนีออกมาจากตัวรถ จากนั้นมีการพูดคุยกันเบื้องต้น และต่างขอตัวแยกย้ายไป รพ. เนื่องจากลูกชายมีอาการแน่นที่หน้าอกจากการกระแทก สำหรับรถเฟอร์รารี่คันนี้ ตนซื้อมาในราคา 34 ล้านบาท จดทะเบียนเมื่อปี 2022 จดทะเบียนในนามภรรยาของตน

ที่ผ่านมา ตนจะคอยตักเตือนลูกชายตลอดว่า ให้ขับรถด้วยความไม่ประมาทและระมัดระวัง โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ โชคดีไม่มีผู้ใดที่ได้รับบาดเจ็บหนักหรือเสียชีวิต เป็นคดีอุบัติเหตุ พนักงานสอบสวนจึงได้นัดให้มาพูดคุยกับคู่กรณี เพื่อสอบปากคำหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ หากตนเป็นฝ่ายผิดก็ยินดีที่จะรับผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องให้ทางพนักงานสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการ
โดยทางพนักงานสอบสวน อยู่ระหว่างรอให้ทางคู่กรณีทั้งหมด เดินทางเข้ามาพูดคุยเพื่อสอบปากคำเพื่อหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในครั้งต่อไป