ศาลรับคำร้องฎีกา เปรมชัย-คนขับรถ-นายพราน

ศาลรับคำร้องฎีกา เปรมชัย-คนขับรถ-นายพราน สู้คดีล่าเสือดำ ทันครบกำหนดยื่นฎีกา 10 เม.ย.นี้

จากที่เมื่อช่วงกลางเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา นายเปรมชัย กรรณสูต อายุ 66 ปี ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 1 , นายยงค์ โดดเครือ อายุ 68 ปี คนขับรถและคนใกล้ชิดนายเปรมชัย จำเลยที่ 2 , นายธานี ทุมมาศ หรือพรานแกละ อายุ 59 ปี จำเลยที่ 4 ได้ยื่นคำขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาและที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ รับรองและอนุญาตให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในคดี ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 218 และ 221 กรณีที่ชั้นศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้โทษแต่จำคุกไม่เกิน 5 ปี

ซึ่ง ป.วิ.อ.มาตรา 218 บัญญัติว่า ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปีห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฯ

มาตรา 221 บัญญัติว่า ในคดีซึ่งห้ามฎีกาไว้โดยมาตรา 218 , 219 และ 220 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำพิพากษา หรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไป

ล่าสุดวันนี้ (1 เม.ย. 63) มีรายงานแจ้งว่า ผู้พิพากษาได้รับรองอนุญาตให้จำเลยที่ 1,2,4 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้แล้ว โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญ อันควรส่งศาลสูงสุด จึงอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในส่วนความผิดที่ต้องห้ามฎีกาได้ โดยขั้นตอนหลังจากนี้ ศาลจังหวัดทองผาภูมิ ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นที่จำเลยได้ยื่นคำฎีกาไว้ ก็จะต้องส่งสำเนาคำฎีกาของจำเลยที่ 1,2,4 ให้อัยการโจทก์ทำคำแก้ฎีกาต่อไป และเมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายได้ยื่นคำฎีกาและคำแก้ฎีกาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ศาลจังหวัดทองผาภูมิ ก็จะส่งเอกสารทั้งหมดพร้อมสำนวนคดี ไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาและมีคำพิพากษาชั้นฎีกาต่อไป

สำหรับ นางนที เรียมแสน อายุ 46 ปี แม่ครัว จำเลยที่ 3 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จากโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาจำคุกมีกำหนด 1 ปี 8 เดือน และปรับ 40,000 บาท ฐานร่วมกันทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ , ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น คดีในส่วนของจำเลยที่ 3 นี้เป็นอันยุติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 เนื่องจากฝ่ายอัยการโจทก์ไม่ได้ยื่นฎีกา และในส่วนของจำเลยที่ 3 เองก็ไม่ได้ยื่นคำฎีกาเช่นกัน

ทั้งนี้ ในการฎีกานั้น ก่อนหน้านี้นายเปรมชัยกับพวกได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิ ขอขยายระยะเวลา มาแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดให้ขยายเวลายื่นฎีกาถึงวันที่ 10 เม.ย.นี้ ส่วนของอัยการโจทก์เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ที่ครบกำหนดการยื่นฎีกาตามที่ขอขยายไว้รอบที่สอง ก็เป็นที่ชัดเจนว่า อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 7 และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (ผบช.ภ.7) พิจารณาความเห็นตามขั้นตอน ป.วิ.อ.มาตรา 145/1 แล้วสรุปว่าไม่ฎีกาเกี่ยวกับผลคดีดังกล่าวอีกต่อไป เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษาแล้วเห็นว่าครบถ้วนตามที่อัยการฟ้องแล้ว

สำหรับคดีร่วมล่าเสือดำ สัตว์ป่าคุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตกนี้ นายเปรมชัยกับพวกได้ประกันตัวคนละ 1 ล้านบาท พร้อมติดกำไลข้อเท้า EM และเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศระหว่างการยื่นฎีกาคดี