2 เม.ย. 63 อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผย สถานการณ์การรักษาโควิดในเรือนจำ หายแล้ว 1 ราย

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผย สถานการณ์การรักษาโควิด-19 ภายในเรือนจำ วันที่ 2 เม.ย. 63 รักษาหายแล้ว 1 ราย รวมผู้ติดเชื้อทั้งหมด 3 ราย

จากกรณีพบผู้ต้องขัง และผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนครนายก ติดเชื้อโควิด-19 ทำให้เป็นที่สนใจของประชาชนเป็นจำนวนมากถึงสาเหตุ และอาการป่วยของผู้ต้องขัง และเจ้าหน้าที่ผู้ติดเชื้อ

ภาพจากอีจัน
ภาพจากอีจัน
ล่าสุดวันนี้ (2 เม.ย. 63) พันตำรวจเอกณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผย สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในเรือนจำ โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้

1. กรณีเรือนจำจังหวัดราชบุรี พบผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 ราย ปัจจุบันได้ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ซ้ำอีกครั้ง (หลังจากรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชบุรี) ยืนยันผลเป็นลบ (ไม่พบเชื้อโควิด-19) แต่ยังจัดให้อยู่ห้องแยกกักขังออกจากผู้ต้องขังทั่วไปอีก 14 วัน เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับทุกฝ่าย

2. กรณีผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนครนายก ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงรักษาตัว ณ สถาบันบำราศนราดูร จังหวัดนนทบุรี โดยมีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด สำหรับผลการตรวจเชื้อโควิด-19 ของผู้ต้องขัง และเจ้าหน้าที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย จำนวน 43 ราย ผลการตรวจพิสูจน์ยืนยันเป็นลบ ไม่พบเชื้อโควิด-19 ทุกราย แต่ยังคงต้องรอผลตรวจเชื้อโควิด-19 ของเจ้าหน้าที่อีก 1 ราย ซึ่งผลการตรวจจะแจ้งให้ทราบต่อไป

3. ตามที่เรือนจำกลางปัตตานี และทัณฑสถานหญิงกลาง แจ้งว่า ผู้ต้องขังที่เข้าข่ายต้องสงสัยแห่งละ 1 รายนั้น เบื้องต้นทางเรือนจำได้ส่งผู้ต้องขังที่เข้าข่ายต้องสงสัยเข้ารับการตรวจโรคเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว ผลการตรวจพิสูจน์ยืนยันผลเป็นลบ (ไม่พบเชื้อโควิด-19) ทุกราย โดยส่วนของเรือนจำกลางเชียงราย เรือนจำจังหวัดพิษณุโลก เรือนจำจังหวัดลำพูน เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง และเรือนจำอำเภอนาทวี รายงานว่า ได้รับผู้ต้องขังเข้าใหม่ โดยได้จัดห้องแยกกักขังออกจากผู้ต้องขังทั่วไป เพื่อเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด สรุปสถานการณ์ในวันนี้มีผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 ภายในเรือนจำ หรือ ทัณฑสถานทั่วประเทศ จำนวน 2 ราย และเจ้าหน้าที่ 1 ราย รวมทั้งสิ้น 3 ราย

ภาพจากอีจัน

ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์จะได้ติดตามสถานการณ์การเจ็บป่วยของผู้ต้องขังในทุกเรือนจำอย่างใกล้ชิดทุกวัน เพื่อจำกัดจำนวนผู้ต้องขังที่อยู่ในภาวะเสี่ยง และติดโรคระบาดนี้ให้น้อยที่สุด โดยได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมโรค รวมทั้งสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลแม่ข่ายต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด