หลังจากที่ นายสันธนะ ประยูรรัตน์ พร้อมด้วย เสี่ยโป้ ร่วมกันตั้งโต๊ะแถลงข่าว เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 63 ที่ผ่านมา ปม บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ขอรับบริจาคเงินซื้อเสื้อสีชมพูของโรงพยาบาลศิริราชจากเสี่ยโป้ 2 ล้านบาท
ซึ่งเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 63 นายสันธนะ ได้เดินทางไปร้องเรียนที่กองปราบปรามพร้อมเอกสารหลักฐาน เรียกร้องให้มีการตรวจสอบเกี่ยวกับการรับบริจาคดังกล่าว รวมถึงให้มีการดำเนินคดีกับ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ใน 4 ข้อหา
ในวันเดียวกัน (17 ก.ย. 62) เสี่ยโป้ ก็ได้เดินทางไปพบกับ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่ต้องบินด่วนกลับมากรุงเทพฯ เพื่อร่วมรายการรับบริจาคช่วยน้ำท่วมของรัฐบาล โดย เวลา 21.45 น. เสี่ยโป้ ก็ได้โพสต์ภาพที่มีตนเอง บิณฑ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมกับระบุข้อความว่า “…. นิสัยดี เป็นกันเอง ขอบคุณครับ”
ซึ่งหลังจากจบเรื่องการรับเสด็จ เสี่ยโป้ ระบุว่า ไม่ได้ติดต่อกันกับ บิณฑ์ อีก
กระทั่งผ่านไปครึ่งเดือน พี่บิณฑ์ โทรมาหาตน เพื่อพูดคุยเรื่องโครงการเสื้อสีชมพู รพ.ศิริราชโดยนัดเจอตนที่ซีคอนบางแค เมื่อถึงวันนัดตนก็ได้ไปพูดคุยกันกับอีกฝ่าย โดย บินฑ์ ให้ตนซื้อเสื้อสีชมพู 10 ล้านบาท ซึ่งตนก็ตกลง
นอกจากนี้ บิณฑ์ ยังได้บอกกับตนอีกว่า เขาได้รับตราสัญลักษณ์ แต่เพียงผู้เดียว ให้ผลิตเสื้อศิริราช 300,000 ตัว ซึ่งตนก็ถามว่าทำไมถึงไม่ใส่เสื้อเหลือง อีกฝ่ายก็บอกเสื้อเหลืองเป็นสีของการเมือง เขาไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลยเอาเสื้อสีชมพูแทน คนจะได้จดจำ เป็นเสื้อของวันพ่อ เพราะเรามีอุดมการณ์ตรงกัน
แต่หลังจากที่ตกลงบริจาคเงิน 10 ล้านแล้ว เสี่ยโป้ กลับไม่สามารถที่จะโอนเงินได้ เนื่องจากมีคดีความติดตัว การเงินค่อนข้างลำบาก จึงแจ้งบิณฑ์ว่า ไม่สามารถออกนอกประเทศไปเซ็นเอกสารทำธุรกรรมทางการเงินได้ ตนจึงบอกพี่บิณฑ์อีกครั้งว่า จะโอนเป็นเงิน 2 ล้าน 5 ครั้ง
แต่วันก่อนโอนเงิน ก็มีปัญหาขัดข้องอีก เสี่ยโป้จึงต้องไปยืมเงิน "ซ้อ" ที่เสี่ยโป้เคารพมานาน
ด้าน "ซ้อ" ก็ถามว่าเอาเงินไปทำอะไร ตนบอกว่าเอาไปบริจาคซื้อเสื้อชมพูให้พี่บิณฑ์ ซ้อก็พูดว่ามีเงินแค่ 2 ล้าน ตนจึงโทรไปหาพี่บิณฑ์อีกครั้ง ว่าช่วยได้แค่ 2 ล้านเท่านั้น พี่บิณฑ์ก็โอเค จากนั้นได้นัดวันโอนเงินกัน
แต่วันก่อนโอนเงิน ตนไปเที่ยว ไม่อยู่ พี่บิณฑ์จึงโทรหาลูกน้องและบอกว่า ต้องโอนนะ เดี๋ยวจะเสียเครดิต ตนจึงให้ลูกน้องโทรหาซ้อ ให้รีบโอนเงินให้พี่บิณฑ์ แต่ซ้อกลับบอกให้ตนโทรหา นายสันธนะ หรือ รองต่อ
เมื่อตนโทรหารองต่อ เขาก็ถามว่าตนได้ตรวจสอบหรือยัง เงิน 2 ล้าน ไปหาที่อื่นเถอะ คุยไปคุยมา รองต่อก็ขอเบอร์พี่บิณฑ์ ไปคุยกันเอง หลังจากวันนั้นตนก็ไม่ได้พูดคุยกับทั้งพี่บิณฑ์และรองต่ออีก
จนกระทั่งวันที่ 14 ธ.ค. 63 นายสันธนะ พร้อมเอกสารหลักฐาน ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบให้ดำเนินคดีกับบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ใน 4 ข้อหา คือ ความผิดฐานพยายามฉ้อโกง , เรี่ยไรเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต , ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ ความผิดที่เกี่ยวกับการแอบอ้างสถาบัน
โดยหลักฐานดังกล่าว คือ เอกสารที่ยืนยันจาก รพ.ศิริราช ว่าบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการ
เสี่ยโป้ อ้างด้วยว่า นายสันธนะ มีหลักฐานที่บิณฑ์ให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัว และนายสันธนะ ก็กับตนเองว่า ถ้าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ ก็ให้ออกมาพูด แต่ถ้าไม่ออกมา จะดำเนินคดีกับตนด้วย ซึ่งตนก็กลัวเรื่องการแอบอ้างเรื่องตราสัญลักษณ์ ตนจึงไปให้ปากคำ เพราะตนไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ส่วนเรื่องเสื้อ ตนก็อยากให้ บิณฑ์ ออกมาชี้แจง เพราะบิณฑ์อ้างว่า ทำเสื้อสีชมพู 3 แสนตัว แต่เจ้าของโครงการเปิดเผยว่าทำมาเพียงแค่ 2 แสน 4 หมื่นตัวเท่านั้น
หลังเกิดดราม่า ทางฝ่าย บิณฑ์ ก็ได้มีการชี้แจงถึงเรื่องเงินบริจาค ในขณะลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านว่า
“เงินบริจาคเป็นเงินที่บริสุทธิ์ เพราะคนตั้งใจบริจาคเพื่อให้คนป่วย เงินบริจาคไม่ว่าเพื่อการอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่บาทเดียวผมก็ไม่เคยคิดที่จะทำ ผมตระหนักอยู่ในใจตลอดเวลา ว่าทุกอย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทยศักดิ์สิทธิ์จริงๆ และมีจริง ใครทำอะไรไม่ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดี เราต้องมีคุณธรรม สัจธรรม ต้องมีความจริง”
และในวันนี้ ช่วงบ่าย นายสันธนะ – เสี่ยโป้ หอบเงินสด 2 ล้านบาท บริจาคเข้าบัญชีมูลนิธิศิริราช โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิศิริราช มารับเงินบริจาคด้วยตัวเอง