
วันนี้ (2 มิ.ย. 68) ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา กล่าวต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคณะกรรมการร่วมวุฒิสภา ว่า การที่กัมพูชาเชิญชวนให้ไทยเข้าร่วมกับราชอาณาจักรในการยื่นคดีร่วมต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ถือเป็นวิธีการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาทางการทูตแก่ราชอาณาจักรเพื่อนบ้านอย่างมีเกียรติ
พร้อมกล่าวย้ำว่า หากไทยยังคงหลบเลี่ยงทางเลือกนี้ต่อไป “ก็ชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง”

ฮุน เซน ตั้งข้อสังเกตว่า บันทึกความเข้าใจปี 2000 ที่ลงนามโดยทั้ง 2 ประเทศนั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากผ่านไป 25 ปีแล้วที่ยังไม่มีข้อยุติ พร้อมเน้นย้ำถึงข้อเท็จจริงที่ทหารกัมพูชาเสียชีวิตในการปะทะครั้งล่าสุด
“หากเราไม่ปล่อยให้ศาลตัดสิน เรื่องนี้ก็จะเหมือนกับกาซา ระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลที่ไม่มีวันจบสิ้น มีการสู้รบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ทำไมต้องกลัวการขึ้นศาล ถ้าเราจริงใจ” ฮุน เซน กล่าว

ในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมรัฐสภาและวุฒิสภา จำนวนสมาชิกวุฒิสภาและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวม 182 คน ได้ลงคะแนนเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะนำประเด็นชายแดนไทย ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ด้าน ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าวว่า กัมพูชาไม่มีเจตนาที่จะยึดครองดินแดนของใครอื่น และเพียงแต่พยายามรักษาพรมแดนทางบกที่หลงเหลือจากอาณานิคมของฝรั่งเศส และสืบต่อมาภายใต้พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ได้สูญเสียดินแดนไปเป็นจำนวนมากแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่เป็นเพียงหยิบมือเดียวและเราต้องปกป้องมัน
“กัมพูชาตั้งใจแน่วแน่ ที่จะนำประเด็นนี้เข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่ว่าไทยจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ขณะที่การเจรจาผ่านคณะกรรมการชายแดนร่วมยังคงดำเนินต่อไป เขาเรียกร้องให้นักการเมืองและประชาชนกัมพูชายืนหยัดเคียงข้างกองทัพ”
“นี่คือเวลาที่ประเทศของเรา จะต้องร่วมมือกันเตรียมพร้อมที่จะปกป้องประเทศและบูรณภาพแห่งดินแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยืนหยัดเคียงข้างกองกำลังติดอาวุธของเรา ความแตกต่างทางการเมืองสามารถหารือได้ในโอกาสอื่น แต่สิ่งใดก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณและดินแดนของเราควรถูกละทิ้งไป นี่ไม่ใช่เวลาที่จะแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองภายในหรือการต่อต้าน” ฮุน มาเนต กล่าว
ขอบคุณข้อมูล : The Phnom Penh Post