
(23 มิ.ย. 68) สื่อต่างประเทศ เปิดเผยเรื่องราวอุทาหรณ์ของหญิงชาวจีนรายหนึ่ง ที่เผลอหลับนานกว่า 4 ชั่วโมง ก่อนที่จะตื่นมาด้วยอาการอัมพาตบริเวณใบหน้า ปากเบี้ยว และดวงตา 1 ข้างไม่สามารถปิดได้
เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นกับ นางสาวฉี หญิงชาวจีน วัย 25 ปี ที่เผชิญเหตุไม่คาดคิด ภายหลังงีบหลับในห้องนอนที่มีพัดลมไฟฟ้าร่วมด้วย โดยเล่าว่า เธอเปิดพัดลมด้วยความเร็วต่ำในช่วงพักเที่ยงที่บ้าน หลังจากนอนหลับสนิทไป 3-4 ชั่วโมง เธอก็ตื่นขึ้นมา พร้อมกับพบว่า ปากเอียงไปด้านหนึ่งและตาขวาปิดไม่ได้

รวมถึงวันรุ่งขึ้น อาการของเธอกลับแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอผิดรูป อีกทั้งยังมีปัญหาในการกินและพูดอีกด้วย ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเดินทางไปโรงพยาบาล จนแพทย์ได้วินิจฉัยว่าเธอเป็นอัมพาตใบหน้า
ในส่วนขั้นตอนการรักษา แพทย์แจ้งว่าเธอต้องใช้หลาย ๆ วิธีผสมผสานกัน เช่น การฝังเข็ม ยาทา ยารับประทาน และการกายภาพบำบัด อย่างไรก็ตาม ในตอนแรก ฉีต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำและอาหารไหลออกมาจากปากตลอดเวลา เนื่องจากไม่สามารถควบคุมใบหน้าครึ่งหนึ่งของตัวเองได้
นายแพทย์เวือง ฮิเออ ฟอง รองผู้อำนวยการแผนกประสาทวิทยา เปิดเผยถึงสาเหตุของอาการดังกล่าวว่า การสัมผัสอากาศเย็นโดยตรงจากพัดลมไฟฟ้าหรือเครื่องปรับอากาศเป็นเวลานาน อาจทำให้หลอดเลือดและเส้นประสาทใบหน้าหดตัว ส่งผลให้เกิดภาวะขาดเลือด อาการบวมน้ำ การกดทับเส้นประสาท และอัมพาตใบหน้าได้
“อากาศเย็นไม่เพียงแต่กระตุ้นร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้ความต้านทานในบริเวณนั้นอ่อนแอลง ทำให้เกิดสภาวะที่ไวรัสแฝงในร่างกาย โดยเฉพาะไวรัสเริม กลับมาทำงานอีกครั้งและทำให้เกิดโรคเส้นประสาทอักเสบที่ใบหน้า” ฟองกล่าวเสริม

ขณะเดียวกัน ดร.หยู โจวเว่ย หัวหน้าแผนกประสาทวิทยา ยังเปิดเผยว่า สตรีมีครรภ์เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นอัมพาตใบหน้า โดยมีอัตราสูงกว่าปกติถึง 3 เท่า ซึ่งความเสี่ยงนี้จะสูงเป็นพิเศษในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์และสัปดาห์แรกหลังคลอด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญยังยืนยันอีกว่า หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ผู้ป่วยอัมพาตใบหน้าแบบไม่ทราบสาเหตุประมาณ 70% จะสามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ภายใน 3 ถึง 6 เดือน
ขอบคุณข้อมูล : SOHA