
ล่าสุดนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน (Carnegie Mellon University) ประเทศสหรัฐอเมริกา คิดค้นกระบวนการเรียนรู้เชิงลึกในการทำแผนที่ระบุตำแหน่งของมนุษย์หลายคนด้วยการวิเคราะห์จากช่วงความกว้างของสัญญาณไวไฟ wifi ซึ่งทีมงานใช้ DensePose ซึ่งเป็นระบบสำหรับทำแผนที่พิกเซลทั้งหมดบนพื้นผิวของร่างกายมนุษย์เป็นภาพถ่าย ซึ่งพัฒนาโดยนักวิจัยในลอนดอนและทีม AI ของ Meta สำหรับพื้นฐานเป็นวิธีการจับชุดพิกัดของข้อต่อแต่ละส่วน เช่น แขน ศีรษะ ลำตัว ฯลฯ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นจุดสำคัญที่สามารถอธิบายท่าทางของบุคคลได้ จากนั้นพวกเขาได้สร้างโครงข่ายประสาทเทียมระดับลึกทำให้เราเตอร์ wifi ป้อนข้อมูลสู่คอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพ "การมองเห็น" ผ่านกำแพงและสิ่งกีดขวางอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยผลการศึกษาเผยให้เห็นว่าแบบจำลองสามารถประเมินท่าทางของวัตถุจำนวนมากได้ โดยมีประสิทธิภาพ มีผลการศึกษาเผยให้เห็นว่าแบบจำลองเทคโนโลยีนี้ทำงานโดยการส่งสัญญาณ Wi-Fi พลังงานต่ำผ่านผนัง ซึ่งจะดังก้องไปทั่วห้อง โดยจะตรวจจับวัตถุทั้งหมดในห้อง และเมื่อสัญญาณตีกลับจะใช้การสะท้อนของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่เพื่อสร้างภาพที่เหมือนเรดาร์ มันสามารถทำงานผ่านผนัง drywall มาตรฐาน รั้วไม้ และแม้แต่ผนังคอนกรีต แม้ว่าช่วงและความแม่นยำจะขึ้นอยู่กับประเภทของผนังก็ตาม
นักวิจัยของ Carnegie Mellonเชื่อว่าสัญญาณ Wi-Fi “สามารถทำหน้าที่แทนกล้อง RGB ที่มีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง” เมื่อพูดถึงการ “รับรู้” พวกเขายังโต้แย้งว่าเทคโนโลยีนี้มีการปรับปรุงสิทธิความเป็นส่วนตัวเนื่องจากไม่ต้องพึ่งพากล้อง และสามารถซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นได้ในราคาที่ย่อมเยา ซึ่งในแต่ละบ้านส่วนใหญ่ในประเทศมี Wi-Fi ที่บ้านอยู่แล้ว และเทคโนโลยีนี้อาจใช้เพื่อตรวจสอบความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุหรือระบุพฤติกรรมที่น่าสงสัยในบ้านของคุณได้อีกด้วย
อีกทั้งนักวิจัยแนะนำว่าการใช้สัญญาณไวไฟ (WiFi) ในการติดตามตำแหน่งที่แน่นอนของผู้คนเป็นวิธีที่ประหยัดกว่ามาก เมื่อเทียบกับกล้องและระบบไลดาร์(LiDAR) แบบดั้งเดิม เพราะในปัจจุบันมีการใช้สัญญาณไวไฟ (WiFi) อย่างแพร่หลายอยู่แล้ว โดยเทคโนโลยีนี้อาจถูกปรับขนาดเพื่อช่วยตรวจดูความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุหรือเพื่อสอดส่องพฤติกรรมที่น่าสงสัยได้
การทดลองครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีนักวิจัยพยายามคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อมองทะลุกำแพง โดยเทคโนโลยีล่าสุดที่สร้างขึ้นนี้อาจนำไปสู่การติดตามตำแหน่งในราคาย่อมเยาและมีความเที่ยงตรงมากขึ้น แต่ทั้งนี้หากมีการจำหน่ายในเชิงพาณิชย์อาจต้องพิจารณาถึงความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่นให้มากขึ้น
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากพื้นฐานที่เข้าถึงง่าย คงอดคิดไม่ได้ว่าถ้าใครบางคนสามารถแฮ็กข้อมูลได้เพื่อใช้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล มาทำการตรวจสอบว่ามีใครอยู่ข้างในบ้านหรือไม่ มันอาจฟังดูเหมือนฝันร้ายซะมากกว่า แต่แน่นอนเช่นเดียวกับเทคโนโลยีทั้งหลายๆสิ่ง มันสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย แต่กระนั้นจุดประสงค์นการผลิต ก็เพื่อ เฝ้าดูคนป่วย ผู้สูงอายุ เด็ก หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงภายในขอบเขตของบ้านเพื่อตรวจสอบพวกเขาจากระยะไกล หรือประเมินว่าพวกเขาอาจต้องการความช่วยเหลืออยู่หรือไม่
อ้างอิง futurism , vulcanpost , interestingengineering ,independent , densepose.org