สารจาก ทีมสืบ คดีชมพู่ เผย พยานหลักฐาน มัดแน่นออกหมายจับ ลุงพล

ข้อมูลจากทีมสืบ คดีชมพู่ เผย ใช้เวลาเพื่อ หาพยานหลักฐาน มัดแน่นออกหมายจับ ลุงพล

นี่คือสารจากทีมตำรวจชุดสืบสวน เล่าถึงความยากของคดีน้องชมพู่

จากจุดเริ่มต้นจนถึงตอนนี้…ใกล้ตอนอวสาน!!!

CR.Cop’s Magazine

ทีมสืบเล่าว่า…

ปริศนาการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” แห่งบ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ค้างคาใจสังคมนานปีเศษ

ความจริงคดีควรปิดลงเรียบร้อย เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 แต่มีบางส่วนทางเทคนิคยังไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเหตุผลให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ต้องขอยืดระยะเวลาออกไป ไม่ต้องการให้คนร้ายดิ้นหลุดในชั้นศาล

ตลอด 1 ปี คณะทำงานสางปม หนูน้อยวัย 3 ขวบ ทำงานกันไม่ได้หยุดพัก

ทีมสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งของ “แม่ทัพสีกากี” ตัวหลัก ประกอบด้วย พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.ต.อรรคพงศ์ พิมลศิริ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ พ.ต.อ.ชัชชัย วงศ์สุนะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 พ.ต.อ.กิตติพงษ์ จิตรคาม ผู้กำกับการสืบสวน 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค4 พ.ต.อ.วิจิตร บุญวรรณ ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร

พ.ต.อ.ภิญโญ ป้อมสถิตย์ ผู้กำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี พ.ต.อ.ศรีสันต์ เฟื่องสังข์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลโคกคราม พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผู้กำกับการสืบสวน 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาล พ.ต.อ.เทพนม สุวรรณรัตน์ ผู้กำกับการสืบสวน 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 8 พ.ต.อ.ศานติ กรเกษม ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี พ.ต.ท.พูนสุข เตชะประเสริฐพร รองผู้กำกับการสืบสวน 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 พ.ต.ท.เกรียงไกร พุทไธสง รองผู้กำกับการกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ พ.ต.ท.สุริยา นภกรีกำแหง สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจภูธรกกตูม จังหวัดมุกดาหาร

ในที่สุด เตรียมสรุปสำนวนการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานที่ใช้เวลาแกะรอยตามคำสั่งของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ตั้งแต่ลงพื้นที่เกิดเหตุวันแรกที่พบศพเด็กเมื่อวันที่ 14 พ.ค.63 สามารถประมวลพฤติการณ์แห่งคดี

ระบุ “น้องชมพู่” พักอยู่ที่บ้าน มีพื้นที่ติดกับเขาภูเหล็กไฟ ได้หายตัวไปเวลาประมาณ เวลา 09.11- 09.49 น. ของวันที่ 11 พ.ค.63 มี “น้องสะอิ้ง” พี่สาววัย 14 ปี เห็นเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนพ่อและแม่ของเด็กออกไปทำงานนอกบ้าน

จากการสอบถามพยานทั่วทั้งหมู่บ้าน ไม่มีใครพบเห็น ชาวบ้านช่วยกันออกปูพรมติดตามค้นหา และเชื่อว่า เด็กผู้หญิงอายุเพียง 3 ปี ไม่มีทางเดินหลงป่าไปไหนได้ไกล บริเวณดังกล่าว จุดเกิดเหตุพบศพ สามารถเข้าได้ 5 เส้นทาง แต่ละเส้นทางไม่มีใครพบเห็น “น้องชมพู่” เดินผ่าน

มีเพียงเส้นทางเดียวที่ผ่านสวนยางท้ายหมู่บ้าน พยานบุคคล 2 คนให้การเห็น “ผู้ต้องสงสัย” เดินออกมาช่วงเวลาประมาณ 09.00 น.

ส่วนการสอบสวนอุปนิสัยของ “น้องชมพู่” หากมีคนแปลกหน้ามาอุ้มจะร้องโวยวายทันที แต่ในขณะที่หายตัวไปปราศจากเสียงร้องและขัดขืน พยานเด็กที่อยู่บริเวณนั้นไม่มีใครได้ยินเสียง

เชื่อว่า บุคคลที่มาพาตัวไปต้องเป็นบุคคลรู้จักคุ้นเคยสามารถเข้าถึงตัวเด็กได้

ประกอบด้วยบุคคล 10 คน

แต่จากการตรวจสอบพยานบุคคลและพยานหลักฐานข้อมูลอื่นในห้วงเกิดเหตุไม่มีบุคคลที่ “น้องชมพู่”ไว้ใจ ผู้ใดอยู่ใกล้เคียง รวมถึงเส้นทางเข้าไปยังเขาภูเหล็กไฟ เกือบทุกคนสามารถยืนยันถิ่นที่อยู่ให้อย่างชัดเจน

นอกจาก “ผู้ต้องสงสัยคนเดียว” ไม่สามารถยืนยันฐานที่อยู่ได้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีพยานบุคคล ระบุ พบอยู่ในเส้นทางที่สามารถเข้าไปยังที่เกิดเหตุได้

หลังจากเด็กหายตัวไป “ผู้ต้องสงสัย” ขับรถกระบะไปรับพระวัดภูผาแอกเพื่อไปส่งยังสถานปฏิบัติธรรมอีกจังหวัด และได้พูดคุยกับพระที่เป็นพยานในเวลาต่อมาว่า “เด็กหายตัวไป” แต่ข้อเท็จจริงยังไม่มีใครในละแวกนั้นแจ้งแก่ “ผู้ต้องสงสัย” ถึงการหายตัวไปของ “น้องชมพู่”

เมื่อสอบสวนถิ่นที่อยู่ห้วงเวลา 14.30-16.00 น.ของวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 “ผู้ต้องสงสัย” ไม่สามารถยืนยันได้ แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า ได้พบกับพยาน 2 ปากบริเวณร่องน้ำบนเขาภูเหล็กไฟ เป็นเส้นทางลงมาจากเขามุ่งหน้ากลับบ้าน ในลักษณะท่าทางมีพิรุธ

พยานทั้งสองมีการเรียกทักทาย แต่ “ผู้ต้องสงสัย” ไม่ตอบรับ

ผลการตรวจศพของแพทย์นิติเวช โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี สันนิษฐานเวลาตายของเด็ก ตั้งแต่เวลา 14.30 น.ของวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ถึงเวลา 14.30 น.ของวันที่ 13 พฤษภาคม 2563

ดังนั้นยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ในขณะที่เด็กถูกทิ้งไว้จุดแรกบริเวณท้ายหมู่บ้านก่อนทางขึ้นภูเหล็กไฟยังมีชีวิตอยู่ ก่อนมีการเคลื่อนย้ายไปบนจุดพบศพ

สอดคล้องกับผลตรวจของนักโภชนาการ ระบุ สภาพร่างกายของ “น้องชมพู่” หากขาดน้ำในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง ย่อมถึงแก่ความตายได้โดยไม่ต้องทำร้ายร่างกาย ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ของสำนักพิสูจน์หลักฐานจังหวัดมุกดาหารได้เก็บวัตถุพยานหลายอย่าง

สำคัญสุด คือ เส้นผมของเด็กที่ถูกหั่นจำนวนหลายเส้น

วัตถุพยานดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในทันทีที่เป็นเจออยู่ในรถของ “ผู้ต้องสงสัย” และเส้นผมของคนใกล้ชิด “ผู้ต้องสงสัย” ไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบศพ ทั้งที่ไม่ได้ขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ ตรงกับรายงานการตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการใช้รังสีเอกซเรย์จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)

ขณะเดียวกันการสอบปากคำ “ผู้ต้องสงสัย” หลายครั้งให้การเป็นพิรุธในลักษณะกลับไปกลับมาและไม่ตรงกับพยานบุคคลอื่น มีการไป “ข่มขู่พยานบางปาก” ให้กลับคำในประเด็นเรื่องเงื่อนเวลาที่พบเจอกัน

สอดรับกับผลการเข้า เครื่องจับเท็จ ที่สรุปว่า “ผู้ต้องสงสัย” มีพิรุธในการตอบคำถาม

จากพยานหลักฐานทั้งหมดของคณะทำงาน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บ่งชี้ได้ว่า “ผู้ต้องสงสัยคนเดียว” เท่านั้นจะนำตัว “น้องชมพู่”ไป และมีการทอดทิ้งไว้ในจุดแรก เพื่อกลับมาทำธุระหาพยานบุคคลอ้างอิง แล้วกลับเข้าไปพาตัวเด็กขึ้นบนเขาภูเหล็กไฟ ทิ้งไว้ในป่าลึกที่ไม่มีผู้คนเพื่อให้พ้นไปจากตัวเองเป็นเหตุให้เด็กขาดน้ำ ขาดอาหารถึงแก่ความตาย

ก่อนกลับมา จัดฉากอำพรางคดี ให้หลงเป็น “เรื่องการฆาตกรรม” ล่วงละเมิดทางเพศด้วยการถอดเสื้อผ้า ถอดรองเท้า ตัดเส้นผมจงใจให้คล้ายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ มนตร์ดำของเขมร หวังเบี่ยงไปถึงคู่กรณีขัดแย้งของพ่อเด็ก

คณะทำงานสืบสวนสอบสวนทั้งหมดที่ใช้เวลาคลี่คลายหาพยานหลักฐานมัด “ผู้ต้องสงสัย” นานถึงปีเศษได้บทสรุปเตรียมรวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรกกตูม จังหวัดมุกดาหาร เสนอศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับ “ผู้ต้องสงสัย”

ฐาน ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และฆ่าผู้อื่น อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 306 ,308

ติดตาม พรุ่งนี้อาจจะมีความเคลื่อนไหวที่กกกอก…