
ทหาร ตำรวจ ปกครอง บุกจับยาไอซ์ล็อตใหญ่ที่สุดในพื้นที่จังหวัดหนองคาย
วานนี้ (10 พ.ค. 67) ที่ กองร้อยเฉพาะกิจทหารพราน 2110 (ฉก.ทพ.21) ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ แม่ทัพภาคที่ 2 ,พล.ต.นรธิป โพยนอก ผบ.กกล.สุรศักดิ์มนตรี ,นายสมภพ สมิตะสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ,นายประทีป อุ่ยเจริญ ปลัดจังหวัดหนองคาย ,พ.ต.อ.จามร อันดี รอง ผบก.ภ.จว.หนองคาย ,นายสมควร ใจซื่อ นายอำเภอสังคม พร้อมเจ้าหน้าที่ทหาร ตชด. ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายค้ายาเสพติด 4 ราย

ประกอบด้วย นายสราวุธ อายุ 39 ปี ,นายประโท อายุ 48 ปี ,นายนิยม อายุ 54 ปี และนายประสิทธิ์ อายุ 53 ปี พร้อมของกลางยาไอซ์ 29 กล่อง จำนวน 198 ก้อน น้ำหนัก 1,420 กิโลกรัม และรถยนต์กระบะป้ายทะเบียนต่างประเทศ จำนวน 1 คัน
โดยสามารถจับกุมได้ที่บ้านภูเขาทอง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย และกระท่อมในสวนยางบ้านโนนสว่าง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 67 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นการจับกุมยาไอซ์ที่มากที่สุดที่เคยมีการจับได้ในพื้นที่จังหวัดหนองคาย มูลค่าเบื้องต้นประมาณ 500 ล้านบาท แต่เมื่อส่งไปถึงต่างประเทศมูลค่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2,500 ล้านบาท

การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 67 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการข่าว ร้อย ตชด.244 จ.บึงกาฬ ได้จับกุมตัวผู้ต้องหาชาย 1 ราย พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 5,330 เม็ด อาวุธปืน 1 กระบอก และรถยนต์ 1 คน ผู้ต้องหาได้ให้กลุ่มเครือข่ายยาเสพติดฝั่ง สปป.ลาว และข้อมูลการติดต่อแก่เจ้าหน้าที่เพื่อขยายผลการจับกุม จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ให้สายลับติดต่อแฝงตัวเข้ากลุ่มเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าว และได้มีการติดต่อกับสายลับ 2–3 ครั้ง
จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 67 สายลับแจ้งว่าได้รับการติดต่อจากชายชาว สปป.ลาว ให้สายลับไปขนลำเลียงยาเสพติด จำนวน 20 กล่อง ที่ จ.หนองคาย โดยให้ใช้รถหกล้อในการขนลำเลียง จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นได้ประสานหน่วยความมั่นคงในพื้นที่และร่วมกันวางแผนเข้าทำการตรวจสอบจับกุม ที่ ร้อย ตชด.245 จ.หนองคาย
ต่อมาเวลา 21.00 น. วันเดียวกัน ชายชาว สปป.ลาว ได้ติดต่อให้สายลับเดินทางไปขนยาเสพติดที่บ้านภูเขาทอง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย เมื่อถึงจะมีรถยนต์นำทางเข้าจุดนัดพบ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้อำพรางตัวบนรถหกล้อเพื่อเข้าตรวจสอบจับกุม
ต่อมาเวลา 22.30 น. เจ้าหน้าที่ได้เดินทางมาถึงจุดนัดพบ ได้มีชาย จำนวน 4 คน ยกกล่องต้องสงสัยสีน้ำตาลเดินมาถึงบริเวณหลังรถหกล้อ เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตนเข้าตรวจสอบ ขณะเดียวกันชายทั้ง 4 คนได้วิ่งหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวในที่เกิดเหตุไว้ได้ 3 ราย คือ นายสราวุธ ,นายประโท ,และนายนิยม ส่วนอีก 1 ราย วิ่งขึ้นรถยนต์กระบะหลบหนีไป แต่สุดท้ายก็หนีไม่รอดเจ้าหน้าที่ได้ติดตามจับกุมได้ในเวลาต่อมา
จากการตรวจสอบกล่องที่ผู้ต้องสงสัยจะยกขึ้นรถหกล้อ พบกล่องจำนวน 20 กล่อง ภายในมียาไอซ์ซุกซ่อนในแท่งพลาสติกสีดำ 128 แท่ง น้ำหนักประมาณ 936 กิโลกรัม จากนั้นได้มีการขยายผลการตรวจยึดได้อีก ที่ กระท่อมในสวนยางบ้านโนนสว่าง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย อีกจำนวน 9 กล่อง ยาไอซ์ 70 แท่ง น้ำหนักรวมประมาณ 484 กิโลกรัม รวมของกลางที่ตรวจยึดได้ทั้ง 2 จุด จำนวน 29 กล่อง 198 แท่ง น้ำหนักรวมประมาณ 1,420 กิโลกรัม
เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) เข้ามาในราชอาณาจักร มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำหน่าย หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป”

จากการสอบถามเบื้องต้นนายประสิทธิ์ หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม ให้การว่าเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 67 ตนได้รับการว่าจ้างจากนายล้าน ชายชาวลาวให้ตนไปรับกล่องสีน้ำตาลที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณบ้านภูเขาทอง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย ตนจึงได้ติดต่อผู้ต้องหาอีก 3 คนให้มาช่วยยกกล่องขึ้นรถ โดยตนได้ขับรถไปยังจุดนัดหมาย
ต่อมาได้มีเรือจำนวน 2 ลำ แล่นมาจากฝั่ง สปป.ลาว นำกล่องมาส่งให้ จำนวน 20 กล่อง ซึ่งกล่องทั้งหมดจะนำไปเก็บไว้ที่บ้านของนายสราวุธ หนึ่งในผู้ต้องหาเพื่อรอคนมารับต่อไปโดยตนจะได้ค่าจ้างเป็นเงิน 2 แสนบาท เมื่อมีคนมารับของไปแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกรับจ้างขนเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 67 จำนวน 9 กล่อง แล้วนำไปเก็บไว้ในกระท่อมในสวนยาง (จุดที่มีการขยายผลการตรวจยึด) ตนไม่ทราบว่าข้างในกล่องเป็นยาเสพติด จึงไม่ขอรับสารภาพข้อกล่าวหาฯ
ภายหลังการจับกุมเจ้าหน้าที่ได้มีการขยายผลในการยึดทรัพย์ เบื้องต้นได้ทรัพย์สินมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท ซึ่งจะได้ทำการขยายผลการยึดทรัพย์ต่อไป และได้นำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง พนักงานสอบสวน สภ.นางิ้ว เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป





