ปวีณาฯ เร่งช่วย 5 คนไทย ถูกหลอกไปเป็นคอลเซ็นเตอร์ โดนทุบตีจนต้องหนีตาย

มูลนิธิปวีณาหงสกุล เพื่อเด็กและสตรี เข้าช่วยเหลือ 5 คนไทย ถูกหลอกไปทำงานประเทศเพื่อนบ้าน สุดท้ายโดนขายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถูกซ้อม ทรมาน เหมือนตายทั้งเป็น ก่อนหนีตายเอาชีวิตรอด

5 คนไทย เข้าร้องปวีณาฯ หลังถูกหลอกขายให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถูกทุบตี ใช้ไฟฟ้าช็อต ทรมาน จนต้องหนี

วันนี้ (27 มี.ค. 67) เหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ 5 คน เข้าร้องปวีณาฯ ให้ช่วยเหลือ หลังถูกหลอกไปทำงานประเทศเพื่อนบ้าน โดยทั้ง 5 คน เจอเหตุการณ์คล้ายๆ กัน คือ สมัครงานผ่านทาง Facebook ในหลายตำแหน่ง เช่น ช่างไฟฟ้า พนักงานประจำคาสิโน พนักงานทั่วไป

หลังสมัครงานไป จะต้องเดินทางไปทำงาน โดยมีการนัดพบกับนายหน้าที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จากนั้นนายหน้าจะพาเดินทางไปยังที่พัก บางคนต้องเดินเท้าข้ามไปทางช่องทางธรรมชาติ ก่อนจะพาไปพบกับนายทุน ที่โอเสม็ด ประเทศกัมพูชา

เมื่อไปถึง นายทุนกลับแจ้งว่า ที่นี่ไม่มีงานในตำแหน่งที่สมัครไว้ เราทำธุรกิจสีดำ นั่นคือ เป็นคอลเซ็นเตอร์

เหยื่อทั้ง 5 คน ไม่ยอมทำงานผิดกฎหมายนี้ แต่นายทุนบอกเพียงว่า พวกเขาถูกซื้อตัวมาแล้ว ด้วยสัญญา 8 เดือน ซึ่งมีทางเลือกให้แค่ 2 ทาง คือ หาเงินมาไถ่ตัวเอง จำนวน 80,000-200,000 บาท หรือ ทำงานใช้หนี้

ทุกคนไม่มีทางเลือก… จำนนทำงาน

ก่อนเริ่มงาน เหยื่อทุกคนจะต้องเรียนรู้การทำงานคอลเซ็นเตอร์ ท่องจำบทพูดก่อนเริ่มงาน รวมถึงต้องอยู่ในห้องพัก และที่ทำงาน ที่อยู่ภายในอาคารเดียวกัน พวกเขาไร้อิสระ…

หลังจากนั้น หากไม่ตั้งใจทำงาน หรือมีการหลบหนี ก็มักจะโดนทุบตี หนักถึงขั้นซี่โครงร้าว บางครั้งใช้กระบองไฟฟ้าช็อต หากไม่พอใจก็จะไม่ให้กินข้าว ซ้ำยังเคยถูกลงโทษด้วยการให้ถือเก้าอี้ยืนตากแดด ทรมานจนเกือบเอาตัวไม่รอด

ยังโชคดี ที่วันหนึ่ง ตำรวจเข้ามากวาดล้างขบวนการค้ามนุษย์ ทำให้พวกนายทุนต้องอพยพคนงานหนีไป เหยื่อทั้ง 5 คนตัดสินใจ หนีกลับไทย และเข้าร้องให้ปวีณาช่วยเหลือ

โดยกรณีนี้ นางปวีณา หงสกุล ได้ประสานไปยัง กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมฝากเตือนคนไทยทุกคน ว่า อย่าหลงเชื่อการหลอกลวงไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะนอกจากจะไม่ได้ทำงานตามที่ตั้งใจแล้ว ยังต้องถูกทำร้ายร่างกายอีก

โดยมูลนิธิปวีณา เปิดสถิติการรับเรื่องร้องทุกข์ในปี 2566 ว่ามีคนร้องทุกข์ที่เข้าข่ายการค้ามนุษย์มากถึง 704 ราย โดยหลอกไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากถึง 126 ราย

และในส่วนของคดีนี้ ต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป