ตร.รวบ “ไอ้ฤทธิ์” หัวหน้าแก๊งแอบรูดบัตร นทท.เดือนเดียวเกือบ 8 ล้าน

น.1 ส่งสืบนครบาลบุกรวบนายฤทธิ์ หัวหน้าแก๊งลักบัตรเครดิตของนักท่องเที่ยว รูดเงินภายใน 1 เดือนเสียหายเกือบ 8 ล้านบาท

ทำเสียชื่อประเทศมาก!

แก๊งล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติภายในวัดพระแก้ว ประวัติโชกโชนกว่าจะควานตัวได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี

โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่  6 ม.ค. 67 ตำรวจพบว่ามีการนำบัตรเครดิตที่ลักมาไปรูดใช้งาน ถือว่าเป็นภัยสังคม โดย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.แกะรอยจนทราบหัวหน้าขบวนการชื่อนายฤทธิ์ ก่อนนำกำลังบุกพังประตูเข้าไปรวบตัวได้ขณะกำลังพยายามลบข้อมูลในโทรศัพท์ พบเครื่องมือรูดบัตรเครดิตและยาเสพติดหลายรายการ และขยายผลพบรังปลวกที่เชื่อมโยงไปถึง “อาเหว่ย” บอสคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน

กระทั่ง วันที่ 19 ม.ค.67 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สืบนครบาล และชุด PCT5 ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว

1.นายวรงค์ฤทธิ์ หรือฤทธิ์ อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.420/2566 ลงวันที่ 24 ต.ค. 66 ข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย และเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาติ และพยายามส่งของต้องห้ามออกไปนอกราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวกับของนั้น”

2.น.ส.จิราภา อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาที่ 2

3. น.ส.มนัสนันท์ อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 3

โดยทั้งสามคนถูกเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมแจ้งข้อหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาไอซ์หรือ เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย”

ตรวจยึดของกลางจำนวน  6  รายการ

1.ยาไอซ์ 3 ถุง จำนวนทั้งสิ้น 4.6 กรัม

2.เครื่องรูดบัตรเครดิต จำนวน 4 เครื่อง

3.สลิปการใช้บัตรเครดิต จำนวน 30 ใบ

4.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง (พบข้อมูลการนัดหมายรูดบัตรกับกลุ่มผู้ขโมยบัตรจำนวนมาก)

5.สมุดจดบันทึก จำนวน 2 เล่ม (พบข้อมูลผู้ร่วมขบวนการอีกหลายราย)

6. ม้วนกระดาษสลิปโอนเงิน จำนวน 1 ม้วน

พฤติการณ์กล่าวคือ “แก๊งล้วงกระเป๋า ลักบัตรเครดิตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ กำลังระบาดในสถานที่ท่องเที่ยว  โดยขโมยบัตรเครดิตของเหยื่อแล้วแอบนำไปรูดสร้างความเสียหายกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางในสถานที่ต่างๆ และเป็นการทำเป็นขบวนการมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ หามือขโมยบัตร เตรียมสถานที่ เตรียมเครื่องที่จะใช้รูดบัตร โดยในปัจจุบันหลายคดีๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่นครบาลพบว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุ (มือขโมยบัตร) จะเป็นชาวต่างชาติสัญชาติเวียดนาม จีน

ทั้งนี้ แก๊งนี้จะใช้ “เซฟเฮ้าส์” ห้องลับเพื่อรูดบัตรให้กับขบวนการนี้โดยเฉพาะ และยังสืบทราบว่า นายวรงค์ฤทธิ์ เป็นบุคคลตามหมายจับในข้อหาพยายามส่งออกยาเสพติดไปยังประเทศเกาหลีใต้ แต่จากการสืบสวนแกะรอยหัวหน้าขบวนการรายนี้นับว่าเป็น “งานหิน” ด้วยความเขี้ยวของหัวหน้าขบวนการรายนี้ที่จะตัดตอนมิให้พยานหลักฐานเชื่อมโยงมาถึงตัว และไปมาอย่างไร้ร่องรอยมาเป็นเวลากว่า 4 ปี ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คอยตระเวนเปิดโรงแรมนอนและย้ายไปเรื่อยๆ ในพื้นที่ กรุงเทพฯ     หลังจากแกะรอยกว่า 1 สัปดาห์จนได้เบาะแสว่าคนร้านรายนี้ได้ปรากฏตัวที่ละแวก ซ.เสือใหญ่ จึงนำกำลังติดตามไปจนพบ “เซฟเฮ้าส์” ที่ใช้เก็บอุปกรณ์เครื่องรูดบัตรไว้

จนกระทั่งพล.ต.ต.ธีรเดช นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุด สืบนครบาล และ PCT5 บุกเข้าไปตรวจสอบห้องพักหมายเลข 704 ของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งย่าน ซ.เสือใหญ่ แต่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของเจ้าพ่อรายนี้ มุดเข้าไปแอบภายในห้องน้ำและพยายามถ่วงเวลาเพื่อลบข้อมูลในโทรศัพท์ของตัวเอง ชุดสืบสวนไม่รอช้าพังประตูเข้าไปรวบตัวในห้องน้ำได้ทันควัน และจับกุมหญิงสาวผู้ร่วมขบวนการอีก 2 รายในห้อง ตรวจยึดของกลางยาเสพติดและอุปกรณ์ใช้รูดบัตรเครดิตได้หลายรายการ

ภายหลังการจับกุม ได้มีการขยายผลจนพบหลักฐานว่าขบวนการนี้ไม่เพียงแต่เป็น “แก๊งขโมยรูดบัตรเครดิต” หากพบหลักฐานเตรียมฉ้อโกงธนาคารด้วยการวางแผนอย่างเป็นระบบ หาคนโปรโฟล์ดี มีคุณสมบัติไม่ติด เครติดบูโร และต้องพร้อมโดนฟ้องล้มละลาย โดยจะนำมาตกแต่งบัญชีให้สวยหรู เพื่อตบตาธนาคารให้ยอมปล่อยกู้ แต่หลังจากธนาคารปล่อยกู้แล้ว แก๊งตัวแสบ จะใช้วิธี “ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” สร้างความเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก มิหนำซ้ำ และยังเป็นขบวนการ “สวมตัวตน” ให้กับชาวต่างชาติ โดยทั้งหมดเชื่อมโยงกับ อาเหว่ย “บอสคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน”

หลังจับกุม นายวรงค์ฤทธิ์ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ก่อนเกิดเหตุ ตนเองประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว เปิดโรงแรม HOSTEL ย่านราชเทวี และเป็นนายหน้าขายที่ดินในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัด และ เป็นนายหน้าขายรถยนต์มือสองในพื้นที่ กทม. ก่อนจะประสบวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เป็นเหตุให้ธุรกิจเจ๊งและปิดตัวลง จนกระทั่งช่วงปลายเดือน พ.ย.66 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสรู้จักกับ “อาเหว่ย” สัญชาติจีน บอสใหญ่คอลเซ็นเตอร์ โดยอาเหว่ยให้ตนเป็นคนประสาน ติดต่อ และจัดหาเครื่องรูดบัตรเครดิตจากร้านค้าทั่วไปให้แก่อาเหว่ย ซึ่งมีเพื่อนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เดินทางมาเที่ยวในไทย อยากจะเปลี่ยนวงเงินในบัตรเครดิตที่ถืออยู่ให้เป็นเงินสด โดยผ่านจากเครื่องรูดบัตร เพื่อใช้สอยในระหว่างที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย โดยอาเหว่ยตกลงจะให้ค่าตอบแทนร้อยละ 25-30 ของจำนวนเงินที่สามารถกดได้จากบัตร

นายวรงค์ฤทธิ์ บอกว่า ตนจึงไปติดต่อพรรคพวกที่รู้จัก ซึ่งเป็นโรงแรม ร้านค้า ร้านประกอบการค้า ที่สามารถนำเครื่องรูดบัตรมาให้ได้ อาทิ และธุรกิจ ขอนำเครื่องรูดบัตรเครดิต มารูดเป็นสินค้าและบริหารของทางร้านภายในวงเงินที่รูดได้ จากนั้นจึงจะทำการเจรจาและตกลงกับทาง เจ้าของร้านค้าและบริการ ดำเนินการคิดและหักค่าดำเนินการในการอนุญาตนำเครื่องรูดบัตรออกมาใช้โดยผิดรูปแบบและวัตถุประสงค์เป็นร้อยละ 25-30 โดยที่ผู้ต้องหาจะได้รับค่าตอบแทนประมาณร้อยละ 5-10 ของวงเงินที่สามารถรูดบัตรได้ จนกระทั่งพรรคหลังเริ่มทราบว่าแท้จริงเป็นขบวนการที่นำบัตรเครดิตมาจากการขโมย โดยรวมทั้งหมดแล้วไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 1,600,000 – 3,000,000 บาท”  

หลังจับกุมตัว ได้นำตัว นายวรงค์ฤทธิ์ฯ พร้อมกับผู้ร่วมขบวนการอีก 2 คน พร้อมของกลางยาเสพติด นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ส่วนของกลางจำพวกเครื่องรูดบัตร และอื่นๆ ได้นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและขยายผลต่อไป


คลิป นาทีรวบไอ้ฤทธิ์ หัวหน้า แก๊งลักบัตรเครดิต นทท.

สืบนครบาลบุกรวบไอ้ฤทธิ์ หัวหน้าแก๊งลักบัตรเครดิต นทท. รูดเงินกว่า 8 ล้านบาท ใน 1 เดือน