วันนี้(19 ก.ค. 66) ที่ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษา คดีแชร์ลูกโซ่ยูฟันสโตร์ รวม 7 สำนวน ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 และผู้เสียหาย ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นายอภิชณัฏฐ์ แสนกล้า แม่ข่ายยูฟันสโตร์ , นายนที ธีระโรจนพงษ์ หรือ นที นักเคลื่อนไหวความหลากหลายทางเพศ กับพวกร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 – 43 ความผิดฐานร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ 2556 , พ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบ ตรง 2545 , ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน 2527 , ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
กรณีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2556 ถึง 18 มิถุนายน 2558 บริษัทยูฟัน สโตร์ จำกัด ชักชวนบุคคลเข้าร่วมเครือข่ายในการ ประกอบธุรกิจน้ำผลไม้และสมุนไพรกับเครื่องสำอาง ทำให้หลงเชื่อว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่าย แต่กลับหลอกลวงให้ร่วมลงทุน โดยจำเลยให้การปฏิเสธ
การนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ จำเลยที่ 29 ไม่มา แต่ศาลก็อ่านคำพิพากษา โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จากการที่จำเลยได้ยื่นฎีกาโดยให้เหตุผลว่าคดีนี้ไม่มีผู้เสียหายไปร้องทุกข์ กับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. เนื่องจากยังไม่มีผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของบริษัทยูฟัน แต่คดีนี้ทาง สคบ.ตรวจสอบทราบว่าบริษัทยูฟันไม่ได้ประกอบกิจการธุรกิจขายตรงแต่อย่างใด จึงให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี จึงถือว่าพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนจำเลยการสอบสวนในคดีนี้จึงไม่ชอบโดยกฎหมายนั้น ศาลเห็นว่าแม้ว่าคดีนี้จะไม่มีผู้เสียหายไปร้องทุกข์ก็ตาม แต่ก็ถือว่ามีความผิดเกิดขึ้นแล้ว เนื่องจาก สคบ.ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งได้ตรวจสอบแล้วพบว่าบริษัทยูฟันมีพฤติกรรมกระทำความผิดมิชอบโดยกฎหมาย จึงมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดี การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบโดยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยในกรณีนี้จีงฟังไม่ขึ้น
สำหรับพฤติการณ์ของบริษัทยูฟันที่มีการชักชวนประชาชนมาร่วมลงทุน และให้ความเชื่อมั่นถึงผลตอบแทนที่จะได้รับ ในลักษณะของการลงทุนยูโทเค่น มีการให้ค่าตอบแทนกับผู้ที่ชักชวนให้ผู้อื่นมาลงทุนด้วย อีกทั้งยังพบว่ามีการทำธุรกรรมทางการเงิน โอนเงินจำนวนมากหลายรายการให้จำเลยหลายราย โดยมีนายอภิชณัฏฐ์ แสนกล้า จำเลยที่ 1 เป็นตัวการหลัก มีการจัดการบรรยายชักชวนประชาชนให้มาร่วมลงทุน มีหลักฐานเป็นภาพถ่าย และคำให้การของผู้ลงทุนหลายรายให้การสอดคล้องกัน ทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำผิดจริง การที่นายอภิชณัฏฐ์ แสนกล้า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่เป็นผู้บริหารของบริษัทยูฟันรายอื่น ให้เหตุผลฎีกาว่ายังไม่มีความผิดเกิดขึ้น จึงฟังไม่ขึ้น
อีกทั้งฎีกาของจำเลยที่เหลือในความผิดต่างๆ นั้น ศาลฟังไม่ขึ้น จึงไม่รับวินิจฉัย และเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์
ส่วนจำเลยที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในบทลงโทษในคดีอาญา ส่วนที่จำเลยยื่นฎีกาสู้คดีศาลเห็นว่าฟังไม่ขึ้น
ส่วนค่าเสียหายทางแพ่ง ที่จำเลยต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ให้คิดอัตราดอกเบี้ยใหม่จากร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี ตามกฎหมายใหม่
สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่านายอภิชณัฏฐ์ จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกทำงานเป็นขั้นตอน ชักชวนให้ผู้เสียหายมาร่วมลงทุนการประกอบธุรกิจของบริษัทยูฟันฯไม่ได้เน้นการจำหน่ายสินค้าขายตรงตามที่แจ้งไว้ แต่กลับเชิญชวนให้ลงทุนยูโทเคน อ้างว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยไปอย่างต่อเนื่อง หากผู้ลงทุนหาสมาชิกใหม่เพิ่มได้จะได้รับค่า ทำให้ได้รับความเสียหาย ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาลงโทษจำเลย 22 คน โดย จำเลยที่ 1 , 2 , 4, 6 , 7 , 11 , 12 และ 13 มีความผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินอันเป็นฉ้อโกงประชาชนฯ จำคุก 2,451 กระทง กระทงละ 5 ปี รวม 12,255 ปี และความผิดตาม พ.ร.บ.องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติฯอีกคนละ 10 ปี รวมจำคุกจำเลยเป็นเวลา 12,265 ปี แต่ตามกฎหมายจำคุกได้เพียง 20 ปี และให้จำเลยทั้ง 22 คนร่วมกันชดใช้เงิน 356,211,209 บาท ให้ผู้เสียหาย 2,451 คน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ริบเงินสดของกลาง กับให้จ่ายสินบนและเงินรางวัลนำจับให้กับผู้ชี้เบาะแสร้อยละ 25 ของค่าปรับที่จำเลยที่ 42 ต้องชำระ และยกฟ้องจำเลยที่เหลืออีก 21 คน ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ยกฟ้อง
ต่อมาจำเลยทั้ง 22 คน คือจำเลยที่ 1,2,4,5,6,7,11,12,13,15,16,17,19,22,23,27,29,31,36,37,40,42 ที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลย 11 คน คือ จำเลยที่ 15,16,17,19,22,23,29,31,36,37 และ 40 และลงโทษจำเลย 32 คน โดยให้จำเลย 1,2,6,7 และ 11 จำคุกคนละ 20 ปี และให้ยกคำขอ 15,16,17,19,22,23,29,31,36,37 และ 40 ร่วมกันคืนเงินที่กู้ยืม และฉ้อโกงแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
และในวันนี้ ศาลฎีกา พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ดังกล่าว