นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คาดการณ์แนวโน้ม เศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2565 จะขยายตัวได้ที่ระดับ 3.5-4.5% เพิ่มขึ้นจากปี 64 ที่ขยายตัวได้ประมาณ 1% โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญ จากภาคการส่งออก ภาคการท่องเที่ยว และเงินลงทุนจากภาครัฐ รวมกว่า 1.9 ล้านล้านบาท จากงบลงทุนในปีงบประมาณ 2565 วงเงิน 6 แสนล้านบาท งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีก 3 แสนล้านบาท รวมถึงเม็ดเงินจากการให้สัมปทาน โครงการลงทุนในพื้นที่อีอีซี เช่น โครงการก่อสร้างสนามบิน โครงการก่อสร้างท่าเรือ เป็นต้น วงเงินราว 1 ล้านล้านบาท จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย ในปีนี้
ส่วนปัจจัยที่จะเป็นความท้าทายในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย ในปีนี้ ได้แก่
1.การคงอยู่ของโควิด-19 และสายพันธุ์โอมิครอน ที่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่า จะยังคงแพร่ระบาดในประเทศ ไปอีกนานแค่ไหน
2.การขาดแคลนแรงงาน ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบชัดเจนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
3.ปัญหาอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราว ในช่วงครึ่งปีแรกเท่านั้น จากราคาอาหารและราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ส่วนตัวอยากให้การคาดการณ์ดังกล่าว เป็นเรื่องของความหวัง เพื่อที่จะได้มีแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทย โตได้ตามเป้าที่คาดหวัง เพราะเป็นสิ่งที่รัฐบาลมีความตั้งใจในการดูแลเศรษฐกิจ ทั้งในระยะสั้นและระยะ
โดยในปีนี้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของไทย อยู่ที่ 1-3% ซึ่งเป็นเรื่องที่ ก.คลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องร่วมมือกันดูแล ไม่ให้อัตราเงินเฟ้อเกิน 3% ขึ้นอยู่กับการกำกับดูแลราคาอาหาร แต่ยืนยันจะดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่กำหนด ส่วนราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น มีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดูแลรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันอยู่ โดยเฉพาะดีเซล ซึ่งมีผลต่อภาคขนส่ง ตามนโยบายคือ ควบคุมราคาไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร และจะใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเข้ามาตรึงราคาดีเซลต่อไป
ส่วนการรักษาระดับการบริโภคภาคประชาชนนั้น รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการคนละครึ่ง เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งเป็นมาตรการที่ดำเนินมาแล้ว 3 ระยะ และกำลังจะเริ่มระยะที่ 4 โดยมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเริ่มเร็วขึ้น จากเดิมกำหนดวันที่ 1 มี.ค.-30 เม.ย.65 เป็นวันที่ 14 ก.พ.นี้ จะเปิดให้มีการลงทะเบียน และวันที่ 21 ก.พ. 65 เริ่มใช้จ่าย เพื่อรักษาระดับการบริโภคภาคประชาชน
คลิปอีจันแนะนำ
ไฟไหม้ปริศนา BMW 4 ล้าน