ภาคอุตสาหกรรม วอน รัฐบาล คุม ราคาน้ำมันดีเซล ไม่เกินลิตรละ 35 บาท
ระบุ คลายล็อคโควิดแต่ถูกซ้ำเติมด้วย ต้นทุนแพง ผู้ประกอบการตั้งตัวไม่ได้ ต้องประหยัดแบบสุด!
วันนี้ ( 6 พ.ค. 65) นายทวีสันต์ วิชัยวงษ์ ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ตอนนี้ ส่งผลกระทบจากการประกาศลอยตัวราคาน้ำมันของรัฐบาล โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ที่ประกาศลอยตัวแบบขั้นบันได มีผลมาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา
การปรับขึ้นราคาลิตรละ 2 บาท ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการขนส่ง ที่มีการหารือการปรับขึ้นราคาขนส่ง ขณะที่กลุ่มธุรกิจขนส่งโดยสาร ได้ปรับขึ้นราคาตามระยะทาง ตามสัดส่วนราคาน้ำมัน แต่ยังไม่มากนัก ส่วนราคาน้ำมันดีเซล หากยังประกาศลอยตัวอยู่ ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นแบบขั้นบันได ในวันนี้อยู่ที่ลิตรละ 32 บาท ก็จะขยับขึ้นไปทีละ 1-2 บาท หยุดที่ลิตรละ 35 บาท และราคาต้นทุนน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นจะส่งผลต่อการทยอยปรับขึ้นราคาตลอดทั้งเดือน พ.ค.นี้
“เมื่อผู้ประกอบการต้องมีต้นทุนที่แพงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับแพงขึ้นนั้น ผู้ประกอบการก็จะต้องปรับขึ้นราคาจำหน่ายหรือการให้บริการที่ขยับตามไปด้วย ภายในเดือน พ.ค.นี้ ความชัดเจนในการปรับขึ้นราคาในสินค้าหมวดต่างๆนั้น จะทยอยเกิดขึ้นด้วย ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่า รัฐบาลประกาศลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล ขณะนี้กลุ่มน้ำมันชนิดอื่นๆก็ทยอยปรับขึ้นราคา ดังนั้นน้ำมันดีเซลอยู่จุดที่เหมาะสมที่สุด ขอให้รัฐบาลควบคุมราคาให้อยู่ที่ลิตรละ 35 บาท ซึ่งจะเป็นราคาที่ผู้ประกอบการรับได้ เพราะไม่มีใครอยากปรับขึ้นราคาไปมากกว่านี้ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมให้กับผู้บริโภค อีกทั้งรัฐบาลประกาศผ่อนคลายมาตรการจากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น แต่สินค้าราคาแพง ต้นทุนน้ำมันแพง ต้นทุนต่างๆก็แพงขึ้นตามไปด้วย ถือเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดให้กับผู้ประกอบการอย่างมาก”
นายทวีสันต์ เผยเพิ่มเติมอีกว่า ภาคอุตสาหกรรมบางส่วนยังคงยืนระยะมาได้ แม้จะบอบช้ำมาจากสถานการณ์โควิด ที่เกิดขึ้นมาเกือบ 2 ปี แต่ทุกคนก็เข้าใจในเหตุการณ์ ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยอมรับว่าจะทยอยปิดกิจการอย่างต่อเนื่อง ได้พูดคุยและหาแนวทางในการประคับประคองให้กลับมาดำเนินธุรกิจกันต่อ
ทั้งนี้ การหาแนวทางเข้าถึงแหล่งเงินทุน พลิกวิกฤติเป็นโอกาสในการค้า การลงทุน แบบวิถีใหม่นิวนอมอล จะต้องเป็นไปตามความต้องการของลูกค้า ที่การเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำวันละ 492 บาท เท่ากันทั้งประเทศ
โดยมองเหตุและผลในด้านต่างๆอย่างรัดกุมและการปรับขึ้นค่าแรงต้องแยกกลุ่มให้ชัดเจน โดยเน้นกลุ่มทักษะและช่างฝีมือเป็นลำดับแรก