สบน.ยัน! เศรษฐกิจไทยแกร่ง ไม่หวั่นมูดี้ส์มองไทยติดลบ

“พชร” ผอ.สบน.เผย ต่างชาติไหลเงินซื้อพันธบัตรไทย ตั้งแต่ต้นปีกว่า 70,000 ล้านบาท ดันตลาดหุ้นขึ้น ไม่หวั่นไทยถูกปรับมุมมองเป็นเชิงลบ

วันนี้ 30 เม.ย.68 นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงกรณี Moody’s Investors Service หรือ มูดี้ส์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากสหรัฐฯ ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ Negative Outlook เกิดจากปัจจัยภายนอก ที่หลายๆ ประเทศได้รับผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้ามีหลายประเทศ ถูกปรับมุมมองดังกล่าวก่อนไทย ทั้งในเอเชีย และยุโรป และบางประเทศถูกปรับอันดับความน่าเชื่อถือลงอีกด้วย

กรณีที่ประเทศไทยถูกปรับมุมมองเป็นเชิงลบ สบน.มองว่า เป็นผลกระทบ ที่เกิดขึ้นเหมือนกันทุกประเทศ เพียงแต่ว่า เร็วหรือช้าเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ เข้าใจว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 หรือสิ้นปีงบประมาณ 2568 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่ออีก 2 แห่ง คือ เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ และ  ฟิตซ์ เรตติ้ง จะมีรายงานในลักษณะ ดังกล่าว ออกมาเช่นกัน ดังนั้น ในช่วงนี้ สบน.ก็จะรายงาน และหารือกับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่ออย่างต่อเนื่อง เพื่อคงอันดับความน่าเชื่อถือเอาไว้

นายพชร กล่าวว่าขณะนี้ การลงทุนมีความผันผวนสูง สืบเนื่องมาจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เอง ทำให้พันธบัตรสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งถูกเทขายออกมา โดยสังเกตได้จากต้นปีจน ถึงวันนี้ (30 เม.ย.) มีเงินทุนต่างชาติ เข้ามาซื้อพันธบัตรรัฐบาลและเอกชนแล้ว ไม่น้อยกว่า 70,000 ล้านบาท

โดยเมื่อเช้าวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา สบน.ได้เปิดประมูลพันธบัตรรัฐบาล เพื่อปรับโครงการหนี้ อายุ 50 ปี วงเงิน 7,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยที่เสนอซื้อเพียง 1.14% ถือว่า ต่ำมาก แต่มีผู้ประมูล เสนอซื้อสูงเกิดกว่าปริมาณที่ออกถึง 2.18 เท่า หรือประมาณ 15,000 ล้านบาท และตลาดหุ้นไทย ในช่วงเช้า ปิดเป็นบวกอีกด้วย

ส่วนที่มีความกังวลว่า การถูกปรับมุมมองดังกล่าว ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น สบน.ขอชี้แจ้งว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ปีนี้ หากขยายตัว 2% หนี้สาธารณะจะแตะเพดานสูงสุด 70% ในปี 2570 และหากจีดีพีลงมาถึงระดับ 1.5% หนี้สาธารณะจะเกิน 70% ในปี 2570 ซึ่ง หากสถานการณ์อยู่ในบริบท การบริหารจัดการหนี้ธารณะจะไม่มีปัญหา และตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณการขยายเพดานหนี้สาธารณะ

ขณะที่ภาคการลงทุนนั้น ปีที่แล้ว มีคำขอรับการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ กว่า 1.13 ล้านล้านบาท เป็นยอดสูงสุดในรอบ 10 ปี และอยู่ระหว่างขั้นตอนออกใบอนุญาตการลงทุน ส่วนการท่องเที่ยวนั้น คาดว่าปีนี้นักท่องเที่ยวจะเข้ามากว่า 38-39 ล้านคน แม้มีสถานการณ์แผ่นดินไหว ก็คาดว่าจำนวนรวมนักท่องเที่ยวจะลดลงไม่ถึงตัวเลขปีที่แล้ว ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 35 ล้านคน

“ที่ผ่านมา ประเทศไทยแถบจะไม่ได้ถูกการปรับมุมมอง จากเชิงบวกหรือ Positive มาเป็นเชิงลบ หรือ Negative โดยครั้งแรกเมื่อปี2551 หรือ 17 ปีมาแล้ว ถูกปรับเป็น เชิงลบ เนื่องจากเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ จากสหรัฐฯ และหลักจากนั้นอีก 2 ปี ได้ปรับเป็น Stable หรือมีเสถียรภาพ และต่อมาในปี 2562 ปรับเป็น บวก แต่ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ถูกปรับลดลงมาเป็น Stable และเป็นเชิงลบในขณะนี้”