
วันนี้ (24 มิ.ย.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีกำหนดการประชุมครั้งที่ 3 ของปี 2568 วันที่ 25 มิ.ย. นี้ หลายสำนักวิจัยเศรษฐกิจต่างคาดการณ์ผลการประชุมว่า กนง. จะปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างไร ท่ามกลางเศรษฐกิจเปราะบาง ทั้งปัจจัยภายในประเทศและนอกประเทศ
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า คาดว่า กนง. มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% หลังปรับลดมาแล้ว 0.50% เนื่องจาก กนง. รอประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทย ขณะนี้สหรัฐฯ ชะลอการเก็บภาษีไปจนถึงวันที่ 9 ก.ค.68
อีกทั้งต้องติดตามสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและทิศทางเงินเฟ้อไทย เนื่องจากเงินเฟ้อเชื่อมโยงค่อนข้างสูงกับราคาพลังงาน รวมถึงภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ชะลอลงจากการประชุมในครั้งก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

“ส่งผลให้ กนง. มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ เพื่อรักษาพื้นที่ทางนโยบายการเงิน (monetary policy space) สำหรับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในจังหวะที่เหมาะสมและก่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในระยะข้างหน้า”นางสาวณัฐพรกล่าว
ทั้งนี้ ช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่า กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งปัญหาด้านเสถียรภาพรัฐบาล ส่งผลต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ และแนวโน้มเศรษฐกิจ ทำให้โอกาสที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งมีมากขึ้น รวมถึงการคัดเลือกผู้ว่า ธปท. คนใหม่ ที่จะเริ่มเข้าดำรงตำแหน่งเดือนต.ค.68 อาจส่งผลต่อแนวโน้มนโยบายการเงินในไตรมาส 4/2568

ดร. ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า SCB EIC ประเมิน กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้เหลือ 1.25% เพื่อช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายมากขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตต่ำกว่าศักยภาพค่อนข้างมาก เงินเฟ้อหลุดขอบล่างของกรอบนโยบายการเงิน และคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ภาวะการเงินในช่วงที่ผ่านมามีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงที่ยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต สินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง และค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับคู่ค้าสำคัญปรับแข็งขึ้นมาอยู่ใกล้ระดับปี 2540
แม้ประสิทธิภาพของการลดดอกเบี้ยในสถานการณ์ปัจจุบันจะมีข้อจำกัดจากเศรษฐกิจที่เผชิญปัญปัญหาเชิงโครงสร้างและความไม่แน่นอนสูง แต่จะมีส่วนช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ ลดภาระการชำระหนี้ของลูกหนี และเอื้อต่อกระบวนการลดหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือน
ทั้งนี้ ความกังวลต่อผลกระทบของการลดดอกเบี้ยลงมากที่อาจส่งทำให้มีการก่อหนี้มากเกินไปของภาคครัวเรือน น่าจะลดทอนได้จากความระมัดระวังของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ และทางการสามารถออกมาตรการมุ่งเน้นการดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวมเพิ่มเติม หากพิจารณาเห็นการเพิ่มขึ้นของหนี้ในจุดที่ไม่เหมาะสม

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า คิดว่า กนง.น่าลดดอกเบี้ยรอบวันที่ 25 มิ.ย. นี้เหลือ 1.50% ไม่ต้องรอเก็บ policy space เนื่องจาก 1. เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงขยายตัวต่ำกว่าคาด ทั้งกำลังซื้อแผ่ว จำนวนนักท่องเที่ยวต่ำคาด ภาคการก่อสร้างเอกชนทรุดหนัก ภาคการผลิตเพิ่งเริ่มฟื้น การส่งออกขยายตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมาก็จริง แต่ทิศทางเปลี่ยนไปขาลงหลังสหรัฐตุนสต๊อกไว้มากแล้ว ยิ่งมีปัจจัยการเมืองมาแทรกยิ่งน่าห่วงแรงส่งการคลังมีปัญหา
2.เงินเฟ้อต่ำลากยาว ไม่เพียงราคาน้ำมันและพลังงาน แต่กำลังสะท้อนกำลังซื้ออ่อนแอ ของจีนทะลักทำ SME มีปัญหาหนัก แข่งขันยาก การจ้างงานไม่น่าดี 3.สินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง ไม่เพียงกลุ่ม SME เดิม แต่มาทางสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่ไม่ขยายการลงทุน เงินเหลือก็มาชำระหนี้คืน รอสถานการณ์กันไป ไม่มีแรงกระตุ้น ส่วนสินเชื่อเพื่อการบริโภคก็อ่อนแอ ยิ่งบ้านกับรถเสี่ยงทรุดต่อ
4.บ้างบอกว่าลดดอกเบี้ยไปก็ไม่ช่วย สู้เก็บกระสุนไว้ดีกว่า อันนี้ผมเห็นต่าง ลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระคนมีหนี้เดิม และสร้างแรงจูงใจคนกู้ใหม่ๆ 5.หนี้ครัวเรือนยังเป็นปัญหา แต่ไม่รุนแรงเหมือนก่อน เพราะแบงก์คุมเข้ม และเน้นการพิจารณาส่งเสริมพฤติกรรมกู้เท่าที่จำเป็น

6.NPL หรือหนี้เสียเริ่มขยับ ยิ่งกลุ่ม SM หรือผิดนัดไม่ถึง 90 วันพุ่ง ระวังถ้าปล่อยยาวจะแก้ยาก ทางเลือกที่ดีคือเร่งปรับโครงสร้างพร้อมลดดอกเบี้ย
7.หลายสำนักมองว่า กนง.รอได้ รอลดเดือนส.ค. ก็ไม่สาย wait and see ไปก่อน รอทั้งการเมืองให้คลี่คลาย รอการเจรจาภาษีกับทรัมป์ต้น ก.ค. รอเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยชัดกว่านี้ และเก็บ policy space หรือกระสุนดอกเบี้ยที่เหลือเพียง 1.75% เอาไว้ใช้ตอนจำเป็นดีกว่า
8.ผมว่าใช้เลย ยิ่งเก็บนาน ตอนจะต้องลด อาจลดหนักกว่าที่จำเป็น น่ามีมาตรการ preemptive หรือกันก่อนแก้ อย่าลืมว่าความเสี่ยงเศรษฐกิจขาลงมากขึ้น ยิ่งมองต่อไปหากมีความเสี่ยงทางการคลังจะยิ่งต้องใช้มาตรการทางการเงินมากกว่านี้
9.สรุป ฟันธงลดดอกเบี้ยเหลือ 1.50% เดือนมิ.ย.นี้ และอีกครั้งเดือน ส.ค.เหลือ 1.25% (เห็นต่างคนอื่นแค่เวลา แต่ปลายทางที่ 1.25% คล้ายกัน) แต่หากมีปัญหาเศรษฐกิจหนักกว่านี้ ผมว่า 1.25% ก็เอาไม่อยู่ น่าลุ้นว่าต้องลดดอกเบี้ยยาว ลงลึกกว่านี้