ในงานแถลงข่าวและเสวนา ‘คลินิกแก้หนี้ by SAM ต่อพลังชีวิต พลิกฟื้นเศรษฐกิจ ให้ยั่งยืน’ ที่ สำนักงานคลินิกแก้หนี้ อเวนิว ชั้น 4 เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.66 น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ เผยว่า ธปท. ให้ความสำคัญ และติดตามปัญหาหนี้ครัวเรือนมาโดยตลอด ซึ่งหากย้อนดูหนี้ครัวเรือนในอดีต พบว่าไม่เกิน 60% แต่ปัจจุบันเร่งตัวขึ้นมาก มาเป็น 90% โดยเฉพาะช่วงโควิด-19
ดังนั้น ธปท.จึงออกมาตรการเพื่อดูแลเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการคลินิกแก้หนี้ ที่ ธปท.คาดหวังว่า จะเห็นลูกหนี้เข้าโครงการเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 อีก 50,000 บัญชี จากผู้เข้าร่วมที่อยู่ในกลุ่มเจน X และ เจน Y เพราะมีการก่อหนี้ค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากทั้งความจำเป็น การใช้จ่ายเกินตัว รวมถึงจากการโฆษณาเชิญชวน
ขณะเดียวกัน ก็พบว่า ลูกหนี้ที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ พบว่า มีอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกัน คือลูกหนี้ ยังไม่รู้จักโครงการคลินิกแก้หนี้ และลูกหนี้ที่เข้าโครงการเกิดสะดุดระหว่างทาง และไม่กลับเข้ามาขอคำปรึกษาอีก ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้จนจบโครงการ
ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น มองว่า ไม่กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้มากนัก เพราะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทย เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ ธปท. อยู่ระหว่างเตรียมออกมาตรการดูแลหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน คาดว่าจะออกมาได้ในช่วงเดือน ก.ค.66
นายธรัฐพร เตชะกิจขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM ระบุว่า ปัจจุบันมีลูกค้าที่ลงนามสัญญาเข้าร่วมโครงการ 40,030 ราย หรือ 116,947 บัญชี คิดเป็นภาระหนี้เงินต้นตามสัญญา 7,928 ล้านบาท โดยเป็นลูกค้าที่ชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว สามารถกลับไปดำเนินชีวิตปกติ 1,312 ราย หรือ 3,351 บัญชี คิดเป็นภาระหนี้เงินต้นตามสัญญา179 ล้านบาท และภายหลังจากมีการปรับเกณฑ์คุณสมบัติใหม่ในโครงการ ทำให้คาดว่า สิ้นปีนี้จะมีจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นถึง 155,000 บัญชีคลินิกแก้หนี้ by SAM ต่อพลังชีวิต พลิกฟื้นเศรษฐกิจ ให้ยั่งยืน
