
วันนี้ (24 ก.ค. 68) เวลา 10.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายพิชัย ชิณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบจัดสรรงบประมาณที่เหลือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลือตามที่กระทรวงการคลังเสนอเพื่อรับมือกับผลกระทบภาษีสหรัฐ
ขณะเดียวกันนายพิชัย ยังได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการเจรจาภาษีสหรัฐ ว่า เตรียมยื่นข้อเสนอล่าสุดของทีมไทยแลนด์ให้กับสหรัฐในบ่ายวันนี้ (24 ก.ค. 68)
เมื่อถามว่าอัตราภาษีตอบโต้ที่ไทยจะได้รับนั้นจะแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนได้หรือไม่ นายพิชัย ตอบว่าในฐานะคนทำงานเราก็ต้องตั้งความหวังแบบนั้นอยู่แล้ว
น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนการประชุมว่า เศรษฐกิจไทยประสบปัญหาเรื่องการขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าศักยภาพ และสัดส่วนการลงทุนของภาครัฐและเอกชนเมื่อเทียบ กับGDP อยู่ในระดับต่ำทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน จึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งได้อีกครั้ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้วงเงิน 157,000 ล้านบาท

ด้านแหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าววว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบพิจารณางบประมาณโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้าน ที่ยังคงเหลืออีก 42,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้ กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 1 หมื่นล้านบาท ส่วนวงเงินที่เหลืออีก 3.2 หมื่นล้านบาท ที่จะจัดสรรให้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อทป.) เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาสัปดาห์
โดยที่ประชุมได้มีความเห็นให้กันงบประมาณบางส่วนไว้รับมือกับผลกระทบภาษีสหรัฐ โดยจัดสรรให้ผู้ประกอบการต่อไป พร้อมให้กระทรวงมหาดไทยไปทบทวนงบประมาณเพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 ที่กระทรวงมหาดไทยได้รับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เดิมกจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ. เทศบาล และอบต.) ที่เสนอเข้ามา ประกอบด้วยคำขอจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา มายังสำนักงบประมาณ