
วันนี้ (7 ม.ค.68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ หรือ พ.ร.ก.ไซเบอร์ คาดว่า พ.ร.ก.จะมีผลบังคับใช้ภายในเดือน ม.ค. 2568
สำหรับสาระสำคัญคือการออกกฎหมาย เพื่อให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือมีส่วนร่วมรับผิดชอบหากประชาชนถูกมิจฉาชีพออนไลน์หลอกเงินจากบัญชี หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีการวางมาตรการในการรองรับที่ดีพอ โดยเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญ

“ถ้าเป็น พ.ร.ก.จะออกได้เร็ว ผมคาดว่าภายในเดือน ม.ค.นี้ก็จะออกมาได้ เพราะไม่ต้องเข้าสภา สามารถประกาศราชกิจจาได้เลย ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน และเป็นประโยชน์กับประชาชน”นายประเสริฐกล่าว
นายประเสริฐกล่าวว่า กฎหมายเรื่องนี้มีคนถามเข้ามามากว่ามิจฉาชีพออนไลน์มีมาก เรื่องนี้เป็นไปตามข้อกำหนดที่มีการหารือกับคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมทั้งกฎหมายการป้องกันและปราบปรามภัยทางไซเบอร์ที่มีการหารือกันแล้ว

เช่น หากสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ไม่ทำระบบป้องกันที่ดีพอปล่อยให้เกิดความเสียหาย เช่น ปล่อยให้มีการเปิดบัญชีม้า โดยที่ไม่มีการสอบถามเลยว่าคนที่ไม่มีอาชีพจะเปิดบัญชีธนาคาร 10 บัญชี ได้อย่างไร ต้องสอบถามด้วยถึงเหตุผลของการเปิดบัญชี ไม่ใช่ปล่อยให้มีการเปิดบัญชีได้ง่าย ๆ เพราะหากเกิดความเสียหายขึ้นจากกรณีนี้ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบต่อไป
เช่นเดียวกับกรณีนิติบุคคลที่มีการเปิดบัญชี ก็ต้องมีการชี้ว่าเป็นบัญชีต้องห้ามตามบัญชี HR03 หรือไม่ บัญชีที่เป็นผู้ต้องสงสัยในการทำความผิดก็ต้องป้องกันไม่ให้มีการเปิดบัญชี ไม่ใช่ว่าใครที่เดินเข้าไปที่ธนาคารก็จะสามารถเปิดได้ทุกราย หากปล่อยปะละเลยก็ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบเช่นกัน

โดยมีปัจจุบันมีประมาณ 100 บัญชีที่เป็นบัญชีนิติบุคคลแล้วเป็นบัญชีม้าต้องมีการตรวจสอบโดยเชื่อมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เพื่อตรวจสอบว่าเป็นชื่อที่อยู่ในบัญชีดำหรือไม่ ถ้าอยู่ใมบัญชีดำจะเปิดไม่ได้ถือว่าเป็นการตัดวงจรทางการเงิน
ทั้งนี้ กรณีของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์หากยังปล่อยให้มีข้อความ SMS ที่ปล่อยมาแล้วเก็บค่าส่งโดยที่ไม่ระมัดระวังว่าเป็น SMS ที่มีการแนบลิงก์ดูดเงินมา ก็ต้องมีการร่วมจ่ายกับผู้ที่ถูกมิจฉาชีพหลอกด้วย ถือเป็นการป้องกันที่ระบบ ซึ่งเอกชนต้องมาช่วยรัฐบาลด้วย